ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเรามาก จึงขอนำมาพูดคุยกันเพราะทุกๆ คนต้องพบเจอกันแน่นอนทุกคน แต่ก่อนอื่นผมขอขั้นด้วยสิ่งดีๆ ที่ผมได้มีโอกาสเจอกับเรื่องราวที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับตัวผมเอง
ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้ไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด คืนแรกของการเข้าพักผมนอนหลับสนิทเพราะเกิดจากความอ่อนเพลียจากการเดินทาง ก่อนที่จะมารู้ตัวสะดุ้งตื่นนอนก็ปาเข้าไปเวลาประมาณ 04:30 น. ลุกขึ้นมาต้มน้ำชงกาแฟดื่มนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่หน้าห้องพักจนถึงฟ้าสว่าง ผมก็หันไปเห็นครอบครัวๆ หนึ่งมีสมาชิกอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ชีวิต พ่อแม่และลูกๆ เดินยิ้มแย้มผ่านหน้าที่พักผมออกไปเพื่อไปใส่บาตรแต่เช้า ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักในขณะที่เห็น เพียงแต่นึกในใจว่าเขาก็มาใส่บาตรกันตามปกติของคนต่างจังหวัด
แต่พอเข้าวันที่สองของการพักผ่อน ผมก็เห็นภาพเดิมที่เคยเห็นในวันแรก ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาฉับพลันทันทีว่าทำไมครอบครัวนี้เวลามาทำบุญใส่บาตรในทุกๆ วันของเขานั้น
"ทำไมสีหน้าและแววตาของทุกๆ คนถึงได้แจ่มใสนัก"
(ปกติด้วยวิถีชีวิตของคนในเมืองหลวงที่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานและกลับค่ำ ทำให้เวลาในการใส่บาตรในตอนเช้าหรือทำกิจกรรมอื่นๆ แทบไม่มี)
โอกาสของผมก็มาถึงผมเมื่อผมออกไปดินเล่น แล้วไปเจอบ้านพักของครอบครัวนี้จึงเอ่ยทักทายสวัสดีและพูดคุยกัน ในช่วงหนึ่งของการสนทนาจึงได้ถามว่า
“พี่ครับผมเห็นเวลาที่ครอบครัวของพี่มาใส่บาตรมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสมาก”
คำตอบที่พี่แกตอบกลับมาทำให้ผมถึงกับอึ้ง
“ถ้าคนเราคิดที่จะทำความดีอยู่ทุกช่วงขณะเวลาแล้ว สิ่งที่เราคิดหรือทำมันจะส่งผลกลับมาหาเราเอง เพราะชีวิตที่เหลืออยู่ของคนเราทำให้ดีได้เสมอ”
แกยังบอกผมอีกว่าครอบครัวของแกไม่ได้แกล้งทำให้สดใสหรืออารมณ์ดี มันเป็นไปโดยธรรมชาติที่ “มันควรจะเป็น” เท่านั้น
ครอบครัวของเราถึงแม้ “ไม่มีบ้านหลังใหญ่ๆ ไว้อยู่อาศัยหลับนอน” เป็นของเราเอง “ไม่มีรถยนต์ราคาแพงๆ เอาไว้ขี่” ต้องเร่ร่อนทำงานรับจ้างทำไร่ ทำสวน รับจ้างทั่วไปเรื่อยๆ อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง
แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถที่จะทำได้คือเราทำความดีทุกๆ ที่ ไม่จำเป็นต้องทำบุญใส่บาตรทุกวัน แต่เราสามารถทำดีในรูปแบบอื่นก็ได้เสมอและตลอดเวลา
“ขอเพียงแต่ว่าเราเริ่มทำมันหรือยัง? เท่านั้น”
คำพูดประโยคนี้ทำเอาผมอึ้งไปอีก เขาคิดแบบนี้ได้อย่างไร ผมได้แต่เพียงคิดในใจคนเดียวว่า
"คุณค่าของคนเรานี้ไม่สามารถวัดจากรูปร่างหน้าตา ฐานะ หน้าที่การงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คนเราใช้วัดกัน"
ในความรู้สึกในขณะนั้น เวลาที่ผมมีอยู่เพื่อพักผ่อนนั้นมันไม่ได้สูญเปล่าอะไรเลยจริงๆ อย่างน้อยการได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนใหม่ที่ช่วยเตือนสติเราทั้งในทางตรงและทางอ้อม แถมยังได้แนวความคิดสติปัญญาเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เพื่อนใหม่ทำเอาผมถึงกับคิดว่าผมยังมีสติปัญหาแค่หางอึ่งเท่านั้น (เอาไว้โอกาสหน้าจะมาเขียนให้อ่านต่อจากตอนนี้นะครับ)
นี่คือเรื่องที่ได้เห็นและได้เจอมากับตัวเองในวันพักผ่อนของผม ผมรู้ได้เลยว่าในขณะที่ “ชีวิตเราที่เหลืออยู่” นี้เราจะทำคุณงามความดีอะไรให้เกิดกับ “ตัวเราเอง และคนที่เรารักให้มากที่สุด รวมถึงไปคนรอบข้างของเรา” ได้อย่างไร
จึงเป็นที่มาของเรื่องที่เขียนให้ทุกๆ คนได้อ่านเพื่อเอาไว้คอยเตือนสติตัวเราดังชื่อบทความครับ
“ประตูบานสุดท้าย”
ในช่วงชีวิตของคนเราที่ได้เกิดมา ต่างก็มีอายุขัยที่แตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา สั้นบ้าง ยืนยาวบ้าง ล้วนแล้วแต่ผลบุญผลกรรมของแต่ละคน บางคนเกิดมาดีพร้อมตั้งแต่เกิด บางคนเกิดมาพร้อมกับความที่ไม่พร้อมพิกลพิการ หรือเกิดมาสวยเกิดมาหล่อ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ผลบุญผลกรรมที่ท่านทั้งหลายได้ทำมาแล้วในอดีตชาติ จึงส่งผลให้เกิดมาในภพชาตินี้เพื่อชดใช้กรรมที่ทำมา แต่เอาเป็นว่าเราจะมาคุยกันในชีวิตปัจจุบันนี้ก็แล้วกัน
ประตูบานนี้เปิดและปิดได้เพียงครั้งเดียว อยู่ที่ว่าเราจะเข้าเมื่อไร? และเป็นสิ่งที่ทุกๆ คน นั้นจะต้องผ่านเข้าประตูบานนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำดำขาว สวยหล่อหรือไม่ก็ตาม
“ประตูบานสุดท้ายนี้ไม่มีใครอยากเข้าและหลีกหนีไม่พ้นแน่นอน นั่นคือความตาย!!!!!”
เราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าภายในประตูบานนั้นจะเป็นยังไง แต่สิ่งหนึ่งที่บอกเราได้คือ กุศลผลบุญที่ทำมาของแต่ละคนในชีวิตปัจจุบันนี้เราทำกรรมดีหรือกรรมชั่วมาอย่างไร เพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นที่จะนำพาติดตัวไปได้ หาใช่ร่างกายที่ผุพังเน่าเปื่อยนี้ที่จะตามเราไป และไม่มีใครสามารถตอบตัวเราได้ว่าเราจะเป็นอยู่อย่างไรเมื่อเราหมดสิ้นลมหายใจจากโลกนี้ไปแล้ว
ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เราทำสิ่งที่ดีๆ เก็บสะสมเป็นต้นทุนแห่งความดีเพื่อชีวิตในภพภูมิหน้าเอาไว้แล้วหรือยัง?
วันนี้เราหลงระเริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ของๆ เราอยู่ ลุ่มหลงแต่เพียงว่า ตัวเรานั้นสวยตัวเรานั้นหล่อ ตัวเรานั้นร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง การงานต่างๆตำแหน่งใหญ่โต ตัวเรายากจน ร่างกายไม่สมประกอบ หรือ ฯลฯ
แต่ความดีไม่ได้อาศัยพึ่งพากับสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นความดีที่ทุกคนสามารถทำได้เหมือนๆ กันทุกคน “เป็นสัจจะธรรมที่จริงแท้แน่นอน”
เราอย่าได้ยึดติด เหนี่ยวรั้งรูปร่างหน้าตา และสังขารเอาไว้เลย "ถึงเวลาก็ต้องคืนเขาไป" เหลือเอาไว้เพียงสิ่งที่เราได้ทำความดีเอาไว้ในวันที่เหลืออยู่นี้ให้ดีเท่านั้นเอง เรามาเริ่มทำความดีไปพร้อมๆ กัน สำหรับจุดมุ่งหมายไม่ใช่เพียงเพื่อตัวของเราเองเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำเพื่อคนที่เรารักและคนรอบข้างอีกด้วย
“วันนี้คุณเริ่มทำความดีแล้วหรือยัง?????”
ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อเตือนสติของเราทุกๆ คน ให้หมั่นทำความดีในทุกๆ วัน ตั้งมั่นจิตใจให้มีสติอยู่เสมอไม่ว่าจะทำกิจการงานอะไรอยู่ก็ให้มีสติ รับผิดชอบในสิ่งที่ทำให้ดีที่สุด
"กิเลสเกิดจากความอยากได้ของเราทุกคน"
“เราได้ ทกอย่าง ดั่งที่คิด
สิ้นชีวิต จะเอาของ กองไว้ไหน
จะได้บ้าง เสียบ้าง ช่างกระไร
เราตั้งใจ ทำสิ่งที่ดี เท่านั้นพอ”
ทุกสิ่งที่เขียนมานี้เพียงเพื่อให้ทุกท่านได้มองเห็นสัจจะธรรมเพิ่มมากขึ้น สิ่งใดๆ ที่เขียนมานี้และเป็นประโยชน์สำหรับท่าน ผู้เขียนเองก็อนุโมทนาสาธุบุญที่เกิดกับท่าน ทุกๆสิ่งที่ได้เขียนไปเพียงเพื่อมอบสิ่งที่ดีๆให้กับทุกๆคน และเป็นวิทยาทาน
ผมขอเพียงแค่ผลบุญกุศลที่ได้ทำในสิ่งที่ดีนี้จงส่งผลบุญที่ได้ทำมอบให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด...........Ta.......รักและห่วงเสมอตลอดไป
ด้วยความปรารถนาดีจาก
"โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"
สวัสดี