Tuesday, May 2, 2017

"ฅนต้นทะเล"


" ฅนต้นทะเล"



(ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่าทุกๆสิ่งเสมอ)

การเดินทางที่นานและระยะทางที่ไกล มันช่างทำให้ผมได้เรียนรู้ทำความเข้าใจใน "พลังของมิตรภาพ" เพิ่มมากขึ้นไปทุกขณะ ผนวกกับการเดินทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เป็นเครื่องเยียวยารักษาสุขภาพของจิตใจมากขึ้นด้วยธรรมชาติที่รังสรรค์ริมสองฝั่งข้างทางอันสวยงาม ผู้คนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมเองเคยเจอมามากต่อมากแล้ว แต่มันไม่เหมือนกับดินแดนแห่งนี้เลย ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับมิตรภาพที่ดีๆแบบนี้

อรัมภบทกันมาพอแล้ว เข้าเรื่องกันเลยนะครับ มีคำพูดๆหนึ่งที่ทำให้ผมได้คิดวิเคราะห์ตรึกตรองอย่างชัดเจน      " ความเป็นเพื่อน ไม่ลืมกัน จนวันตาย " เป็นคำพูดของชายชราผู้หนึ่งแห่งหมู่บ้าน  "หม่องกั๊วะ" คนที่ผมจะเขียนช่วงเวลาหนึ่งที่ผมมีโอกาสได้สัมผัสและได้พูดคุยกับชายชราผู้นี้มานะครับ

วันที่ 26/12/16 เป็นวันที่ 4 ของการเดินทาง ผมดั้นด้นเดินทางเพื่อไปพบกับคุณลุงท่านหนึ่งท่านมีชื่อว่า "คุณลุงสมหมาย" สหายเก่าผู้นำทางด้านความคิด และ "ผู้นำกลุ่มฅนต้นทะเล" จิตวิญญาณของการอนุรักษ์ป่าผืนป่าต้นน้ำลำธารแห่งหมู่บ้าน "หม่องกั๊วะ" อำเภออุ้มผาง ("ดินแดนแผ่นดินดอยลอยฟ้า") จ.ตาก  เป็นบุคคลคนเดียวที่ทุกๆท่านคงจะเคยพบเห็นในรายการ "ฅนค้นฅน" และได้รับรางวัล  "ฅนค้นฅนอะวอร์ด" ครั้งที่ 4 เมื่อปี 2556 นี้ด้วย ผมได้มีโอกาสพูดคุย ได้พักหลับนอนที่ "บ้านไม้ไผ่" อันเป็นชัยภูมิ ภูมิปัญญาชาวบ้านอีกแขนงหนึ่งของการดำรงค์คงอยู่ ซึ่งธรรมชาติต่างๆนั้นเต็มไปด้วยแมกไม้ที่ทอดทาบเรียงรายร่มรื่นตามทิวเขาสลับกันไปมา ลมหุบเขาพัดแผ่วเบาเย็นสบาย สลับกับบรรยากาศที่ค่อนข้างจะหนาวเย็นพอสมควร เสียงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ส่งเสียงร้องระงมเซ็งแซ่ ช่างเป็นธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เหมาะอย่างยิ่งในการพักผ่อนในแบบธรรมชาติแบบนี้จริงๆ

ภูมิปัญญาชาวกะเหรี่ยง กับมิตรภาพที่ดีๆที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยถ้าหากขาดน้องสาวผู้น่ารักของผมไปเสียสักคนหนึ่งแล้ว ผู้ที่ทำงานคลุกคลีร่วมกับชนเผ่าปกาเกอญอมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ผูกพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นกับชาติพันธุ์กะเหรี่ยงปกาเกอญอเป็นอย่างมาก ถึงขั้นขนาดที่ว่าฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกเป็นหลานกันได้เลยทีเดียว แน่นแฟ้นกันขนาดนั้นกันเลย

มิตรภาพของสายน้ำ,ขุนเขาและผู้คนชาวปกาเกอญอ มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีของการหล่อหลอมจิตวิญญาณแห่งการอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำแห่งทะเล ถูกสืบทอดต่อๆกันมาจากรุ่นปู่ย่าตายายสู่อีกรุ่นหนึ่ง อย่างมีนัยสำคัญของการดำรงค์คงอยู่ของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันมาอย่างช้านาน

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนถึงมิตรภาพการให้เกียรติต่อแขกผู้มาเยือน เช่นประกอบอาหาร รวมถึงการรับประทานอาหาร ชาวปกาเกอญอจะต้องเป็นผู้ประกอบอาหารให้แขกของเขานั้นได้รับประทานก่อน ส่วนตัวเองและครอบครัวถึงจะเป็นฝ่ายรับประทานทีหลัง ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่แทบไม่มีทางได้เจอในสังคมเมืองอย่างแน่นอน ผู้คนอัธยาศัยดี,สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะอยู่กับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไร้สารเคมีเจือบ่น ดังนั้นอาหารการกิน ชีวิตสุขภาพจึงบริสุทธิ์ตามไปด้วย หรือสังเกตุได้ง่ายๆอีกอย่างหนึ่งคือคนปกาเกอญอนั้นไม่มีคนอ้วนให้ได้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว

อากาศที่บริสุทธิ์เย็นสบาย เมฆหมอกยามเช้าลอยฟุ้งพุ่งกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ ธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์จริงๆ อยู่กับกลิ่นอายของแมกไม้สายธารและขุนเขาที่โรแมนติคทำให้ชีวิตผมช่วงเวลานั้นถูกกลืนไปกับธรรมชาติอันสุนทรีย์รมย์อย่างนี้ในทันที   ป่าเขาลำเนาว์ไพร สายน้ำลำธาร ความสงบเงียบ เสียงของธรรมชาติที่ร้องเรียกเป็นเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง สัตว์ป่านานาชนิดส่งเสียงร้องขับขานตามประสาสัตว์ป่าไปทั่วอาณาบริเวณผืนป่าเขาแห่งนี้ ทั้งในช่วงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าและก่อนรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่จะมาถึง เป็นเสียงแห่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าต้นน้ำธรรมชาติจริงๆ


สายธารต้นกำเนิดของทะเล "จากภูผาสู่ทะเล" ซึ่งผมเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า "ออนเซ็น" (เมืองไทยก็มีและสวยกว่าเมืองนอกเสียอีก) ธรรมชาตินี้ได้รังสรรค์สิ่งที่สวยงามเอามาไว้ต่อหน้าผมมันช่างเป็นเหมือนสวรรค์จริงๆ เครื่องมือสื่อสารต่างๆหยุดการทำงานของมันลงอย่างสิ้นเชิง ตัดขาดจากความวุ่นวายของสังคมเมืองภายนอก มันรู้สึกถึงการได้พักผ่อน พักสมองในการคิด พักหัวใจที่บอบช้ำมาจากสิ่งแวดล้อมที่เจอมา จุดไฟที่กำลังจะมอดมิดลงให้กลับมาลุกโชนโชติช่วงสว่างไสวอีกครั้งเติมเต็มพลังก่อนที่จะเข้าไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในการทำงานที่สับสนวุ่ยวายอีกครั้งในเมืองกรุง
                             (ออนเซ็น)

กลุ่มชาติพันธุ์ "กระเหรี่ยง "หรือ "ปกาเกอญอ" ผู้มีชีวิตผูกพันธ์กับขุนเขา สายน้ำ และธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ทำให้วิถีชีวิตชาวปกาเกอญอ ผู้มีจิตวิญญาณเกี่ยวพันธ์กับธรรมชาติได้มองเห็นสัจจธรรมความจริงอย่างถ่องแท้ที่ว่า 

"ผืนป่าและสายน้ำหาได้เป็นสมบัติส่วนตัว หรือของชนเผ่าของตนแต่อย่างใด แต่มันคือทรัพย์สมบัติของคนไทยทั้งชาติ และคนทั้งโลกที่สามารถพักพิงพึ่งพาอาศัยได้อย่างเท่าเทียมกัน"  


บน "ผืนป่าตะวันตกตอนบน" ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญๆ เช่น ลำน้ำแม่กลอง ซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตทุกๆสรรพชีวิตที่อยู่ภายใต้แม่น้ำสายนี้ ก่อนจะไหลลงสู่ท้องทะเลอ่าวไทยอันกว้างใหญ่ไพศาล หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตของคนบนโลกใบเดียวกัน สร้างความสมดุลภาพของทุกๆชีวิตทั้งตอนบน และตอนล่าง ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงชนเผ่าปกาเกอญอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่ได้รับประโยชน์ แต่ยังเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับทุกๆสรรพสิ่ง สัตว์ทุกๆชีวิตได้อาศัพอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความรับผิดชอบต่อผืนป่า ลำธารต้นกำเนิดที่ชาวปกาเกอญอได้ยึดถือและยืนหยัดปฏิบัติกันมานับหลายชั่วอายุคน นี่คือสิ่งที่ชาวปกาเกอญอนั้นทำกันมาอย่างช้านาน ดูแลรับผิดชอบในฐานะของคน "ต้นทะเล" เพื่อทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

                 " ถ้าป่าให้เรากินเราจงรักษาป่า ถ้าต้นน้ำลำธารให้เรากินจงรักษาต้นน้ำลำธาร "
เป็นวลีสั้นๆของ คุณลุงสมหมาย ที่ผู้เขียนได้ยิน และได้สัมผัสมา..........................................

ฟังๆแล้วกับคำพื้นๆคำนี้ ในความรู้สึกของผมเองซึ่งไม่อาจเอื้อมที่จะไปล่วงรู้ถึงความรู้สึกของท่านอื่นได้ นะครับ ได้แต่ฟังความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น มันเป็นคำพูดที่ถูกต้องอย่างมาก คนที่พูดออกมานี้ได้ล่วงรู้ถึงบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และของผืนแผ่นดิน ผืนน้ำ ผืนป่าที่ได้มอบให้กับมนุษยชาติของเรา เป็นสิ่งที่เราทุกๆคนนั้นต้องตอบแทนคุณกลับคืนธรรมชาติกันบ้างนะครับ

ด้วยความเชื่อถือของชนเผ่าปกาเกอญอที่สืบทอดตกต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี จากความสัมพันธุ์ของ ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ,ภูเขา ต้นไม้ และสายน้ำต้นทะเล เป็นชนเผ่าที่นับถือคำสอนของ "ฤาษี" และพิธีกรรมความเชื่อ หรือพิธี "พิธีมาบุโค๊ะ" พิธีกราบไหว้เจดีย์ที่จะจัดขึ้นเพื่อเคารพสักการะคำสอนของฤาษีในช่วงวัน "มาฆบูชา" หรือราวๆต้นเดือน มีนาคม ของทุกปีซึ่งจะจัดขึ้น 7 วัน 7 คืน

และพิธีนี้เองทำให้ผมนั้นได้ค้นคว้าเพิ่มเติมถึงความสำคัญของพิธีกรรมนี้ ได้รู้จักกับบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็น "ผู้นำด้านจิตวิญญาณ" ตามวิถีทางของคำสอนของ "ฤาษี" ที่สืบทอดต่อๆกันมา 


คุณลุง"พินิจ"
"ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณฤาษี" อายุท่านก็ราวๆ 89 ปี ( ณ ขณะที่ผู้เขียนได้เขียนถึง) ผู้ทรงศีลตามหลักคำสอนของ ฤาษี ผมเองได้มีโอกาสสนทนาพูดคุยโดยผ่านทาง "พี่ตือ" เจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่เดินทางไปด้วยกัน สิ่งที่ได้พูดคุยกับ ลุงพินิจนั้นท่านได้สนทนาเป็นภาษากะเหรี่ยงกับทางพวกผมหลายต่อหลายคำ ทำให้ผมไม่อาจเข้าใจในบทสนทนาภาษา "กะเหรี่ยง" ดังกล่าวได้ ไม่อาจเอากลับมาเขียนบทสนทนาดังกล่าวเพื่อบรรยายความรู้สึกจากการสนทนาในครั้งนั้นให้ทุกๆคนได้อ่านกัน (ต้องขอประทานโทษทุกๆท่านมาด้วยนะครับ)

 แต่สิ่งหนึ่งที่ผมนั้นสัมผัสได้คือ " พลังในจิตวิญญาณ " ดวงนั้น ดวงที่อยู่ในตัวคุณลุงพินิจ ทั้งสีหน้าแววตา ท่าทาง ที่เคร่งขรึม ทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ใจ (Amazing) อย่างมากที่ผมนั้นไม่สามารถอธิบายให้ทุกๆท่านได้เข้าใจได้อีกเช่นเคย   หลังเสร็จสิ้นจากการสนทนากับลุงพินิจแล้ว ก่อนที่ผมจะลากลับจากไปเพื่อไปสู่วังวนที่สับสนวุ่นวายในเมืองกรุง ด้วยความที่ท่านนั้นได้ให้ความเอ็นดูและห่วงใยพวกกระผม แกก็ไม่รอช้าที่จะให้พรเป็นภาษากระเหรี่ยงอีกเช่นเคย ซึ่งผมนั้นไม่รู้เรื่องอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้แต่มโนสำนึกของผมไป หรือคาดเดาในสิ่งที่คุณลุงนั้นได้สื่อสารผ่านคำอวยพรช่างเป็นพรที่ดีเลิศ และประเสริฐที่สุดสำหรับชีวิตของผมในรอบปีนี้  และในอนาคตของชีวิตนี้เป็นแน่ ซึ่งผมมั่นใจอย่างนั้น


ด้วยสีหน้าและแววตาของคุณลุงพินิจ ท่านเป็นคนที่ดูเข้มขลัง ดุดัน แต่เมื่อมองในแววตาชัดๆแล้ว ท่านนั้นกลับดูมีน้ำใจโอบอ้อมอารีย์ อบอุ่นเสมอที่ผมนั้นได้มองผ่านแววตาคู่นั้น ใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เปื้อนรอยยิ้มที่มุมปาก ละมุนละไมดูแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ทันทีอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

อีกทั้งท่านยังเป็นผู้ที่สืบสานตำนาน "คนปรุงยาสมุนไพร" ตามแบบฉบับโบราณกาลอีก ซึ่งในถิ่นธุรกันดารขนาดนี้การที่จะหาหยูกยามารักษาบรรเทาอาการป่วยไข้นั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน เพราะห่างไกลจากสถานพยาบาล จำเป็นที่จะต้องนำองค์ความรู้ต่างๆเหล่านี้มาเผยแพร่ และหาวิธีเยียวยารักษาด้วยสมุนไพรอย่างชาวเขาชาวดอยเขาทำกัน เป็นภูมิปัญหาชาวบ้านอีกแขนงหนึ่งที่น่ายกย่อง น่าอนุรักษ์รักษาหวงแหนเอาไว้เพื่ออนุชนคนรุ่นหลังได้สืบทอดภูมิปัญญาวิชาทางการแพทย์แผนโบราณนี้เอาไว้ให้ยาวนานสืบไปจนชั่วลูกชั่วหลานให้ยาวนานที่สุด

เสร็จภาระกิจจากคุณลุงพินิจแล้วก็ถือโอกาสกราบลาท่านเสียที เป็นการจากลาที่ผมเองไม่อยากที่จะลาจากดินแดนแห่งนี้เลย ยังอยากที่จะอยู่ต่ออีกสัก 2-3 คืนด้วยซ้ำไป แต่เนื่องด้วยว่าภาระกิจแห่งสังคมเมืองที่บีบรัดนั้นมันไม่เหลือเวลาให้กระผมได้อยู่ต่ออีก จำใจต้องจากลากลับกันเสียที (ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาเยือนถึงถิ่นนี้อีกครั้ง)



ส่วนเด็กๆ ที่นั่นสำหรับโอกาสที่จะได้รับการศึกษาในความคิดของคนในเมื่องอย่างเราๆคงจะคิดเหมือนผมว่า "คงไม่มีทางได้รับการศึกษาที่ดีเป็นแน่"  แต่ในทางกลับกันโอกาสที่เด็กๆที่นี่ได้รับนั้นคือการศึกษาที่สร้างการเรียนรู้กันถึง 3 ภาษาที่คนเมืองอย่างเราๆนั้นยากที่จะหาโอกาสแบบนี้ได้ อย่างเช่น ที่ "ค่ายอพยพ" การเปิดการเรียนการสอนนอกระบบของการศึกษาในประเทศไทย เพื่อให้เข้าใจกันนะครับ ภาษาที่ผมเห็นความแตกต่างอย่างมาก คือ "ภาษาอังกฤษ"
 ที่เปิดสอนเด็กที่นี่ถึงเกรด 12 ตรงกับการเรีนยการสอนในต่างประเทศกันเลยครับ ซึ่งมีความแตกต่างจากสังคมเมืองอย่างเราๆ ที่ทั้งการพูด และการเขียนภาษาอังกฤษกลับไม่ได้เรื่อง แถมยังยกยอตัวเองว่าเก่งกว่า หรือดีกว่าเด็กพวกนี้ เพราะผมได้เห็นและได้พิสูจน์แล้วว่าเด็กที่นี่เขาเก่งจริงๆ ครับ ซึ่งเก่งกว่าหลายๆคนในเมืองใหญ่ๆเสียอีก

มุมมองของผู้เขียนนั้นมองเพียงแค่ว่าโอกาสเป็นสิ่งที่ตัวเรานั้นสามารถที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ แต่เรานั้นจะรับรู้ถึงโอกาสที่มาถึงตัวเราได้หรือไม่ อย่างไร????????

สุดท้ายนี้ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทีมงานที่ร่วมขบวนกันไป และก็ขอบคุณน้องๆพี่ๆทั้งหมดที่อำนวยความสะดวกทั้งที่พัก การกินอยู่หลับนอน การเดินทางที่แสนลำบาก และทรหด ขอบคุณคุณลุงสมหมาย คุณลุงพินิจ ขอบคุณพี่ตือ ขอบคุณน้องขุน แห่งมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร น้องเก๋ ที่น่ารักเจ้าหน้าที่ พอช.ขอบคุณคุณพี่อู๊ดดี้ ที่เอื้ออำนวยรีสอร์ทที่พัก "ตูกะสู" รีสอร์ทที่แสนร่มรื่นอยู่ในร่มเงาทอดกายด้วยไม้ใหญ่ยืนต้นร่มรื่นสวยงามและแสนสบายมากๆนะครับ และทั้งหมดที่ไม่สามารถกล่าวถึงด้วยนะครับต้องขอประทานโทษมานะที่นี้ด้วย





สุดท้ายแต่ก็ยังไม่ท้ายสุดซะทีเดียวนะครับ  ทุกๆสิ่งที่ผมได้ตั้งใจทำในครั้งนี้ และทุกๆครั้งที่ผ่านๆมา หรือในอนาคตที่ผมจะทำ ผมเชื่อมั่น และผมสัญญาว่ากระผมจะทำแต่สิ่งที่ดีๆ และเป็นประโยชน์ให้กับคนส่วนมาก ทั้งนี้เพื่อคนที่ผมนั้นรักสุดหัวใจ ผมจะทำมันต่อไป และจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ "รักและคิดถึงเสมอ" 














                                                                                                                                 

                                                                                                                    ด้วยความปราถนาดีจาก

                                                 
                                                                                                  " โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "





ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ :

www.โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง.com
FB: songrit songrit
Lind Id : taaoo 429
หรือค้นหาใน Google พิมพ์คำว่า โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง