Monday, December 31, 2018

เอาอะไรไปได้บ้าง????

        " เวลาที่ถูกกำหนด "

......เสื้อผ้าที่สวมใส่สวยๆแพงๆยี่ห้อดังๆ.....เวลาที่เราตายไม่มีใครเลยที่จะกล่าวชื่นชมว่าเสื้อผ้านั้นสวยดียี่ห้ออะไรนะที่ใส่ตอนตาย?????

...รองเท้าที่สวมใส่ยี่ห้อดังๆแพงๆเมื่อเราตายแล้วก็หาได้มีใครกล่าวชื่นชมเลยว่ารองเท้าที่สวม ณ ตอนตายนั้นสวยหรือเป็นยี่ห้อที่ดังๆแพงๆแต่อย่างใด!!!!

.....รถยนต์ที่เราขับขี่สวยๆราคาแพงๆ.....เมื่อตายไปก็ไม่มีใครกล่าวชื่นชมเลยว่ารถที่ขับขี่นั้นสวยดียี่ห้อดังแบบไหน!!!

...ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตผู้คนนับหน้าถือตา.....เวลาตายไปหน้าที่การงานตรงนั้นก็สิ้นสุดตามติดไปกับความตาย หาเอายศฐาบันดาศักดิ์เหล่านั้นไปด้วยได้ไม่!!!

.....ทรัพย์สินเงินทองตั้งหน้าตั้งตาหามาได้มากมายก่ายกองเป็นกอบเป็นกำ ครั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ผู้คนต่างพากันหุ้มลุมล้อมตอมเพื่อเกาะเกี่ยว แต่เมื่อตายไปทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นก็ตกเป็นของผู้อื่น "กลับเอาไปไม่ได้ " แม้แต่สตางค์แดงเดียว!!!

.....พ่อเรา , แม่เรา , แฟนเรา , เมียเรา, สามีเรา , ลูกเรา , ฯลฯ เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้แบ่งปันความเจ็บปวดแลความตายจากเราไปได้เลยแม้แต่น้อย!!!

......ครั้นเมื่อเห็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วขอให้ค่อยๆ "ปลดปลง " มันลงอย่างช้าๆ....อย่าได้ติดยึดเหนี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ให้มันมากจนเกินไป จะทำให้เกิดความเครียด , ความทุกข์เสียเปล่าๆ ปลดปล่อยมันลงอย่างเป็นคนที่ "เป็นบัณฑิตผู้ชาญฉลาด"

........ความรู้สึกเช่นนี้ผู้เขียนได้เขียนออกมาในวันที่มีโอกาสได้ไปร่วมส่งดวงวิญญาณของคนๆหนึ่ง และได้นั่งปลงอยู่ข้างๆเมรุ เป็นการส่งร่างอันไร้วิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้ผู้เขียนนั้นปลง และปลดปล่อยออกมา ณ ช่วงเวลานั้น

การเขียนในลักษณะแบบนี้ แน่นอนมันจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของใครหลายๆคน แต่ในความเป็นจริงล้วนแล้วเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคน ทุกๆชีวิตในโลกใบนี้โดยไม่มีวันที่จะ "หนีความตายไปได้พ้น " อยู่ที่ว่าวันไหน เวลาไหนจะถึงคิวของเราเท่านั้น???

ผู้เขียน เขียนบทความนี้เพื่อเตือนสติของผู้เขียนเอง และรวมถึงท่านผู้อ่านทุกๆท่านได้พินิจวิเคราะห์อย่างบัณฑิตที่ชาญฉลาดเขาคิดกัน

ครั้นเมื่อมองต่อไปอีกภายหน้าผู้เขียนมองในลักษณะที่จะเขียนในเรื่องของความแตกต่างในช่วงอายุเมื่อนำมาเปรียบเทียบตามมุมมองของผู้เขียนเองจะเห็นเป็นแบบนี้....

ช่วงเกิด คนเกิด "ร้องไห้ " ในขณะคนรอคอยการเกิดของเรารอบๆข้างต่างพากัน "ดีอกดีใจ " กับการได้เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขเกิดขึ้น ต่างพากันอวยพรให้เป็นคน "ดี "

ช่วงวัยของการศึกษา  เรามีแต่ความสุข มีแต่ความเพลิดเพลิน หาได้คิดมากไร้ความวิตกกังวนอะไรทั้งสิ้น สนุกสนานเพลิดเพลินสมกับวัย ถึงเวลาก็ขอเงินกับพ่อแม่

ช่วงการทำงาน ต่างเร่งรีบ แก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบกันสารพัดเพื่อที่จะหางานหาการทำเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเอง เป็นช่วงที่ " ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว " ไม่เห็นแก่ใครทั้งสิ้นทำเพื่อ "ตัวเอง" ทั้งสิ้น

ช่วงอายุ 60 ปี บุคคลที่มีหน้าที่การงาน หรือเป็นบุคคลที่นับหน้าถือตา ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับบุคคลที่ไม่มีตำแหน่งอะไรในสังคมนี้ เพราะเมื่อถึงคราวเกษียรแล้ว บทบาทหน้าที่ก็ " พรันจบสิ้นลง " เหมือนๆคนที่ไม่มียศไม่มีตำแหน่งหน้าที่

ช่วงอายุ 70 ปี "บุคคลที่มีเงินทองมากมายก่ายกองเป็นผู้มีอันจะกิน " ก็ไม่สามารถสรรหาเครื่องประทินร่างกายได้ดีกว่าบุคคลที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง เพราะเนื่องจากว่า "ไม่รู้จะสรรหา" มาเพื่ออะไร ร่ายกายไม่มีความต้องการแบบนั้นอย่างนั้นเสียแล้วแห้งเหี่ยวเหมือนๆกัน ซึ่งก็ไม่แตกต่างกันเลย

ช่วงอายุ 80 ปี อยากจะท่องเที่ยวเพื่อเปิดโลกทรรศ์เปิดหูเปิดตา ซึ่งก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น จะเดินเหินไปก็แสนยากลำบากทั้งยังนำพาความทุกข์ยากไปยังลูกหลาน ถึงแม้ได้ไปก็ตามก็ไม่สามารถหาความสนุกสนานได้เหมือนตอนวัยรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งก็ไม่ต่างกันเลย

ช่วงวัยอายุขัยมุ่งหน้าเดินเข้า "โลง" ผู้คนต่างพากัน " ร้องไห้ " ด้วยความอาลัย แต่คนที่ตายกลับ "ยิ้ม" ที่ละไปจากโลกใบนี้แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกัน ที่ๆเขาได้จัดเอาไว้ให้ก็เป็นเพียงโลงสี่เหลี่ยมผืนผ้า "ปากหัวตัวเท่า" เพียงเท่านั้นไม่สามารถเอาทรัพย์สิน , ที่ดินที่มีเยอะมากมายติดตัวไปได้เลย ซึ่งก็ไม่ต่างกัน

ถึงเวลาที่จะต้องเผา "ทำลายทิ้ง " ก็เหลือเพียง " เถ้าทุลี " หาประโยชน์ไม่ได้เหมือนกัน แม้กระดูกที่เหลือก็ยังหาประโยชน์อะไรไม่ได้ เก็บไว้ให้ลูกหลานกราบไหว้ เผลอๆหลานๆเหลนๆจะถามเอาว่า " นี่คือกระดูกของใคร กัน " มิหนำซ้ำกระดูกก็ยังเอาไปทิ้งลอยในแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำตื้นเขินอีกต่างหาก!!!

มันเป็น "อนิจจัง" แท้ๆเลย "ทุกๆสิ่ง มีเกิดขึ้น  มีคงอยู่  และดับสูญไป " ฉันใดก็ฉันนั้น......

เพราะนี่คือ "สัจจะธรรมที่เที่ยงแท้และแน่นอนที่สุด"

ท้ายนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนากล่าวล่วงเกินท่านใดทั้งสิ้น เขียนเพื่อเตือนสติ เตือนความไม่ประมาท แต่ถ้าหากบทความบทนี้ได้ไปสร้างความขุ่นข้องหมองใจใครแล้ว ผู้เขียนก็ขอกราบขอโทษ  ขอขมามา  ณ  ที่นี้ด้วยนะครับ

       
                          สวัสดี

            By "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

เขียนโดย ... ทรงฤทธิ์  อนุไพร

Tuesday, January 23, 2018

" คนเถื่อน "


💢1/08/2560💢

" วิถีคนเถื่อน "
💓💓💓💓💓


" แม่น้ำเมย " 

แม่น้ำแห่งเสรีภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของสองฟากฝั่งแม่น้ำเป็นเส้นขันเขตแดนระหว่าง ไทย-พม่า อย่างชัดเจน 

แม่น้ำสี "น้ำตาลขุ่นเข้ม" ไหลหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ครั้งเมื่อสมัยก่อนแม่น้ำสายนี้เคยเป็นแม่น้ำ "สายเลือด" ซึ่งเกิดมาจากความขัดแย้งเข่นฆ่ากันด้วยสาเหตุต่างๆ นำพามาซึ่งความขมขื่นสะเทือนใจของพี่น้องทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ความสูญเสียครั้งนั้นเป็นบ่อเกิดของความพลัดพราก จากถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน  พลัดพลากจากคนรัก ฯลฯ

......... แต่วันนี้แม่น้ำเมยได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็น 

" แม่น้ำเศรษฐกิจที่รุ่งเรื่อง " 

เป็นเรื่องที่น่ายินดีกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้  สำหรับเรื่องที่ผู้เขียนจะเขียนยังวนเวียนอยู่กับการเดินทางท่องเที่ยวเฉกเช่นกับงานเขียนหลายๆเรื่อง แต่เรื่องนี้จะพิเศษแตกต่างไปจากงานเขียนในครั้งก่อนๆมา  คงจะเหมือนกับที่หลายๆคนอยากที่จะไปเหมือนกับที่ผู้เขียนได้ไปมา เอาเป็นว่าเรื่องที่ผู้เขียนจะเขียนขึ้นนี้ถือเป็นตัวแทนสำหรับทุกๆคนก็แลัวกันนะครับ เรามาเดินทางไปพร้อมๆกันเลย.......

ก่อนที่จะเริ่มเรื่องสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้เขียนต้องขอกล่าวคำว่า "ขอโทษ" กับสิ่งที่เขียนนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะพาดพิงหรือกล่าวอ้างถึงใครคนใดคนหนึ่งในทางที่ไม่ดี แต่กลับเป็นเจตนาดีที่ผู้เขียนได้เขียนตามสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัสมาเพื่อที่จะบอกกล่าวให้คนทั่วๆไปที่ได้อ่าน และได้มีความรู้สึกเฉกเช่นที่ผู้อ่านได้ไปกับผู้เขียนเพียงเท่านั้นนะครับ



การเดินทางแบบ 
"เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย" ครั้งนี้ผู้เขียนไม่มีแม้กระทั่ง Passport หรือหนังสือเดินทางเข้าเมืองมาเกี่ยวพันแต่อย่างใดเลยเป็นการ  "ลักลอบ" เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่ไม่อยากให้ท่านผู้อ่าน หรือหลายๆคน " เอาอย่าง"  แต่ประการใด เพียงแต่ผู้เขียนต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ในลักษณะแบบนี้เท่านั้น ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จะตามมาเลยนะครับ!!!!!
การเดิิินทางของผู้เขียนในครั้งนี้ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆตามประสาคนที่ชอบไปๆมาๆอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนคนอื่นทั่วๆไปนัก 

แต่ด้วยความบังเอิญผู้เขียนที่ได้มีโอกาสเข้าพบท่านนายพลท่านหนึ่ง (ขอสงวนที่จะไม่เอ่ยนาม) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จริงๆจากการเดินทางในครั้งนี้ และเป็นเรื่องที่ยาก!!!!!!มากๆ สำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆท่านๆ ที่จะเข้าถึงตัวท่านนายพลฯท่านนี้ เพราะการอารักษ์ขาของเหล่าทหารกล้ามีมากเหลือเกิน อาวุธครบมือซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย.........................................................

" น้องเอ " (นามสมมุติ)  ที่ผู้เขียนได้รู้จัก ซึ่งตัวน้องเอนี้เป็น " หลานชายของท่านนายพลซึ่งท่านเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกองกำลังทหารกระเหรี่ยงในพื้นที่ความรับผิดชอบริมฝั่งแม่น้ำเมยของประเทศพม่า หรือเมืองเมียววดี" นั่นเอง  

เย็นย่ำค่ำลงกว่าทีมงานจะออกเดินทางได้ก็ปาเข้าไปเกือบๆ 18:00 น. เพราะต้องรอทีมงานที่จะไปกับผู้เขียน พอเดินทางไปถึงริมฝั่งแม่น้ำเมยก็มีเรือเข้าเทียบท่ามารับเพื่อที่จะข้ามฟาก ฝั่งแม่น้ำเมยก็ไม่ได้กว้างมากมายอะไรนัก ความกว้างก็ประมาณ 10 กว่าเมตรเห็นจะได้ครับพอข้ามฟากไปถึงอีกฝั่งก็มีรถยนต์มารอรับ มาพร้อมกับกองกำลังทหารกระเหรียงที่มารออยู่ราวๆประมาณ 10 คนเห็นจะได้อาวุธครบมือ (ดูน่ากลัวมาก) 

พอขยับตัวขึ้นรถได้ก็เริ่มมีเสียงดังเอะอะโวยวายตามหลังมาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นดูเหมือนกับจะมีเรื่องมีราวอะไรเข้าแล้ว พอหันกลับไปดูต้นตอของเสียงนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา (เป็นพวกของเราเอง) ภาษาที่พูดกันจะเป็นภาษากระเหรี่ยงซึ่งมีแต่น้องเอเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลให้ฟังพอจับใจความคำสั่งนั้นได้ว่า " ให้ทหารทุกๆนายดูแลความปลอดภัยให้กับทีมงานให้ดีๆ โดยเฉพาะตัวของอาจารย์ (ผู้เขียน)"            

ผู้พัน "นก" เจ้าของต้นเสียงอันทรงพลัง
เมื่อดวงอาทิตย์เย็นย้อยคล้อยต่ำลงความมืดมิดของรัตติกาลก็เข้ามาปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ แต่ยังพอมีแสงจากไฟรถยนต์ที่ทำให้ผู้เขียนนั้นพอที่จะมองเห็นหน้าค่าตาของคนสั่งการได้รางๆ ผู้สั่งการเป็นชายรูปร่างเล็กๆแต่น้ำเสียงนั้นทรงพลังอย่างมาก มารู้ในภายหลังว่าคนนั้นก็คือ "ผู้พันนก" (นามสมมุติ) แต่ขณะนั้นยังไม่ได้ทำความรู้จักกันมากนัก

เมื่อเวลาที่ผู้เขียนปวดท้องเบาต้องการที่จะปลดทุกข์ (ข้างทาง) ผู้พันคนนี้ก็สั่งให้ทหารเดินติดตามไปเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างใกล้ชิดราวกับว่าผู้เขียนนั้นเป็น "คนสำคัญ" ยังไงยังงั้นเลย รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยแบบนั้นจริงๆ (55555)

ทหารที่ดูแลเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำเมย






ส่วนพาหนะที่ใช้เดินทางก็เป็นรถยนต์ประจำของกลุ่มทหารเป็นรถยนต์ปกติเหมือนๆบ้านเราครับ (รถยนต์ที่ประเทศพม่าที่กองกำลังทหารใช้การเป็นรถยนต์มือสองที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นราคาค่อนข้างถูกมากราคาต่อคันก็ประมาณไม่ถึงหนึ่งแสนบาทเพราะไม่มีภาษีอะไรเลย ส่วนน้ำมันนั้นราคาเพียงลิตรละ 11-12 บาท เท่านั้นซึ่งแตกต่างจากบ้านเรามาก) ส่วนถนนหนทางนั้นก็ทุรกันดารเอาเรื่องอยู่ เล่นเอาทีมงานที่เดินทางไปด้วยแทบจะอ้วกไปตามๆกันเพราะรถยนต์ขณะวิ่งนั้นโคลงเคลงไปมาเกิดอาการเมารถต้องหาหยูกยามาบรรเทาอาการเหล่านั้น ถนนหนทางมีลาดยางบ้างไม่ลาดยางบ้างคละเคล้าผสมกันไปความกว้างของถนนก็ประมาณ 3 เมตรเท่านั้น  เวลาที่รถสวนทางกันก็ต้องหยุดเพื่อรอให้อีกคันได้ผ่านไปก่อนอีกคันถึงจะไปต่อกันได้



 นั่งรถมาเรื่อยๆสิ่งที่สังเกตุเห็นได้เด่นชัดคือร้านขายหมากพลูเป็นคำๆมีให้เห็นทั่วไปริมสองข้างทาง ส่วนรสชาตนั้นต้องขอบอกเลยว่าอร่อยมาก มีหลากหลายรสชาดให้ลิ้มลองกัน ทั้งเมามาก เมาน้อย รสหอมหวาน หรือสูตรน้ำผึ้งก็มีครบ ลูกค้าที่แวะเวียนซื้อหานั้นสามารถเลือกซื้อกันได้ตามที่ชอบใจ ส่วนราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมากมายนัก ราคาเพียงห่อละ 10-15 บาทเอง ส่วนผู้เขียนมีหรือที่จะไม่ลิ้มลองรสชาดกับเขาบ้างพอได้ลองแล้วยอมรับเลยว่า เมาๆๆๆๆๆๆๆ สุดๆเลย

ารเดินทางใช้เวลาร่วมๆ 2 ชั่วโมงเศษๆแต่ต้องขอบอกเลยว่าสุดแสนจะทรมานจริงๆ ด้วยระยะทางเพียงไม่ถึง 15 กิโลเมตร พอถึงจุดหมายปลายทาง คือ "บ้านพักของท่านนายพล" การต้อนรับขับสู้นั้นไม่ต้องพูดถึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองอย่างมากภายใต้ชายคาบ้านสองชั้นแห่งนี้ ซึ่งสวนทางกับความคิดของผู้เขียนเองว่า ที่บ้านพักแห่งนี้น่าจะเต็มไปด้วยความรู้สึกอึมครึม อึดอัด ในความคิดของผู้เขียนเป็นอย่างนั้นจริงๆ....................................

ทันทีที่ได้ก้าวย่างเข้าไปในบริวณชั้นล่างของบ้าน สิ่งที่ได้พบเห็นนั้นเต็มไปด้วยเหล่าทหารกล้า และผู้นำชุมชนต่างๆ กำลังนั่งดูทีวีกันอย่างเพลิดเพลิน ต่างพากันหัวเราะสนุกสนาน ส่วนบางกลุ่มก็นั่งตะบันหมากกินกันอย่างเอร็ดอร่อย (ผู้เขียนก็ต้องลองกินหมากกับเขาอีกครั้ง!!!!!!!!!!ไม่เหลือครับจัดไป) ทักทายกันด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง และเป็นมิตรทั้งๆที่ไม่ได้เข้าใจในภาษากันเล๊ยแม้แต่น้อย แต่สิ่งหนึ่งผู้เขียนสัมผัสได้คือรอยยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพเกิดขึ้น  ณ  ที่นี้เองซึ่งแตกต่างจากความคิดของผู้เขียนเมื่อก่อนเดินทางมา

น้องเอได้พาผู้เขียนเข้าพบกับท่านนายพลบริเวณชั้นสองของบ้าน ายพลท่านเป็นคนรูปร่างท้วมสีผิวออกจะคล้ำๆแต่สมส่วนพอดี ท่าทางสุขุมมีสง่าน่าเกรงขามมาก ผู้เขียนได้แนะนำตัวเองและทีมงานที่เดินทางไป ด้วยความนอบน้อมการสนทนากับท่านนั้นท่านจะพูดเป็นภาษากระเหรี่ยง ต้องอาศัยผู้แปลให้ฟังพอที่จะจับใจความนั้นได้ว่า......................................................

" เรายินดีต้อนรับ และมีความยินดีอย่างมากที่ได้มาทำความรู้จักกัน ทางเราจะดูแลคณะที่มา ไม่ต้องกังวลในเรื่องความปลอดภัยใดๆ ทั้งนี้ยังจะดูแลในเรื่องของการกินอยู่หลับนอนให้ทั้งหมดอย่าได้วิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น พร้อมทั้งได้เชิญทีมงานให้พักผ่อนกันที่บ้านของท่าน "(... แต่ในความคิดนั้นไม่สามารถที่จะรบกวนท่านมากไปกว่านี้ได้ เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว) พอได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในทันที!!!!!!!!!

....จากการพูดคุยมีใจความๆหนึ่งที่ผู้เขียนได้ฟัง " บ้านเมืองทุกวันนี้มีแต่ความขัดแย้งเอารัดเอาเปรียบกัน ขัดผลประโยชน์กัน เข่นฆ่ากันไม่เว้นในแต่ละวันนี่หล่ะคืน ฅน " เป็นคำพูดที่ผู้เขียนคุ้นเคยหรือได้ยินมามาก แต่ทำไมเมื่อได้ยินคำพูดๆนี้อีกครั้งมันทำให้ความรู้สึกว่า ถ้าหากคนเรา "รู้จักคำว่าพอ" และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันให้มากๆแล้วสังคมมันจะน่าอยู่มากขนาดไหน???????????" และท่านได้พูดต่ออีกว่า ท่านฯมีโครงการที่จะสร้างสถานที่ท่องเที่ยวหรือสวนสาธารณะเอาไว้ให้พี่น้องชาวกระเหรี่ยงได้พักผ่อนหย่อนใจ โดยโครงการนี้ท่านได้ส่งผู้นำชุมชน และทหารคนสนิทเดินทางไปดูงานที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการของในหลวงในรัชกาลที่ 9 ของพสกนิกรชาวไทยเรานั่นเอง ท่านนายพลท่านมีความรัก เคารพ และศรัทธาต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างมาก ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวไทยที่มีพ่อหลวงที่เป็นแบบอย่างเช่นนี้....................................


พอเสร็จสิ้นจากภาระกิจในเข้าพบกับท่านนายพลแล้วผู้เขียนและทีมงานตกลงกันว่าที่หลับนอนนั้นขอพักในอีกที่หนึ่งซึ่งไม่ใช่บ้านของท่ายนายพลเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน แต่ขอไปที่บ้านพักของทหารซี่งอยู่ห่างจากบ้านของท่านนายพลไม่มากนัก แต่ก็ยังอยู่ในเขตการอารักษ์ขาของทหารทั้งหมด (ในความคิดขณะนั้น คำว่า "บ้านพักของทหาร" คงจะมีห้องหับพร้อมเพรียงพอที่จะหลับนอนได้อย่างสบายได้  แต่ไม่เป็นอย่างที่คิดเอาเสียเลยครับ...ผู้เขียนเองไม่อยากที่จะบรรยายถึงสภาพแวดล้อมเลย) 

พอถึงบริเวณที่พักท้องที่ร้องเสียงดังมาตลอดทางก็เริ่มออกอาการมากขึ้นเพราะหิวข้าวมาก ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาก็เริ่มจัดแจงทำอาหารการกินอย่างเร่งด่วน สำหรับข้าวปลาอาหารก็แวะซื้อและเตรียมพร้อมมาจากตลาดริมเมย จุดไฟตั้งเตา (ผู้เขียนลงมือทำเอง) ตามมีตามเกิดกัน พร้อมกับสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเครื่องดื่มที่ตระเตรียมมา ทั้งนี้ก็ได้รับความร่วมมือของเหล่าทหารที่ทั้งดูแลความเรียบร้อย และดูแลความปลอดภัยตลอดการเดินทางไป ช่วยกันทำไปพูดคุยถึงสาระทุกข์สุขดิบกันไป เพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงกับข้าวก็เสร็จพร้อมที่จะลงมือรับประทานอาหารกันได้....................เมนูที่ทำนั้นก็ไม่มีอะไรมากนักเป็นเพียงการเผากุ้ง,เผาปลาหมึก แล้วก็มีหน่อไม้ที่เหล่าทหารทำการถนอมอาหารเอาไว้รับประทานกัน ด้วยตัวผู้เขียนเองเป็นคนกินอยู่แบบง่ายๆก็เลยไม่มีปัญหาอะไร

พอได้เวลาที่พอเหมาะพอเจาะผู้เขียนก็ขอตัวเพื่อที่จะอาบน้ำอาบท่าจัดแจงความเรียบร้อยส่วนตัว การอาบน้ำนั้นไม่ได้มีห้องน้ำสำหรับที่จะอาบน้ำแต่เป็นการอาบน้ำในที่โล่ง แสงสว่างที่ได้จากดวงจันทร์ก็เพียงพอที่ทำให้ผู้เขียนพอได้เห็นอะไรได้บ้างนึกถึงเมื่อครั้งที่อยู่ชนบทการอาบน้ำท่ามกลางแสงจากดวงจันทร์ อากาศที่เย็นสบายมันรู้สึกถึงความสุขเมื่อได้คิดถึงตรงนั้นอีกครั้ง พออาบน้ำเสร็จก็เริ่มจัดแจงหาที่หลับที่นอนตามแต่สภาพที่พอจะนอนได้ อากาศก็เย็นสบายไม่ถึงกับหนาวมาก อากาศนั้นบริสุทธิ์สดชื่นมาก กับการนอนของผู้เขียนเพียง 2-3 ชั่วโมงในคืนนั้น แต่พอตื่นขึ้นมาร่ายกายก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูกเอาเลยนี่หล่ะที่มีคนเคยบอกผู้เขียนว่า "การนอนที่หลับลึกเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถทำให้ร่างกายเรานั้นสดชื่นได้มากกว่าการนอนเป็นเวลาหลายๆชั่วโมง"



รุ่งอรุณของวันใหม่ก็เริ่มขึ้นเวลาตื่นนั้นก็ประมาณตีห้าเห็นจะได้ทองฟ้าเริ่มทอแสงรำไร แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงสาดส่องลงมาทีละน้อยๆ ทัศนียภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เปรียบเหมือนสวรรค์ยังไงยังงั้นมันเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ (ไปมาทั่วไทยแล้วยังไม่เคยเห็นบรรยากาศแบบนี้เลย) เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นเย็นสบาย ทัองทุ่งนาเขียวขจี ขุนเขาแมกไม้สุดแสนที่จะโรแมนติคอย่างบอกไม่ถูกเลย บอกได้คำเดียวว่า 

"สวยงามมากจริงๆ"

ด้วยหมอกจางๆยามเช้าที่สดชื่นนี้ ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งที่ได้ไปเที่ยวบนดอยแห่ง มบ.หม่องกั๊ว  อ.อุ้มผาง จ.ตาก ที่ปราศจากสิ่งรบกวนใดๆขึ้นมาในทันที ณ บรรยากาศที่นั่นกับที่นี่เหมือนกันอย่างกับแกะ แสนที่จะเงียบสงบ เมื่อร่างกายได้สัมผัสกับอากาศในวูบแรกทำให้รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย เริ่มปฏิวัติเข้าสู่โหมดของพลังงาน (Energy) ขึ้นมาทันทีอีกครั้ง ร่างกายกลับกระปรี้กระเปร่าอย่างทันตาเห็น ในห้วงของความคิด ณ เวลานั้นผู้เขียนมีความรู้สึกอยากทำในสิ่งที่ดีงามต่อไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่อยากทำประโยชน์ให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก นั่นเป็นความรู้สึกภายในที่มันฟ้องขึ้นมากับตัวผู้เขียนอย่างนั้น " นึกและมองว่าในช่วงชีวิตที่หายใจอยู่นี้จะทำคุณงามความดีอย่างไรเพื่อตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิด และแผ่นดินเกิด เพื่อเป็นความภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าท่านเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่ดูเราก็ตาม "


ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน......ส่วนโปรแกรมของวันนี้ไม่ได้เป็นหน้าที่ของผู้เขียนเลยแม้แต่น้อย เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าของน้องเอ และผู้พันนก คิดเตรียมการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว.........................อยู่ๆน้องเอก็พูดขึ้นว่า

" วันนี้เรามีนัดกินข้าวที่ค่ายของผู้พันนกนะครับเสียงของน้องเอพูดกับผู้เขียน " ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้เขียนได้พูดคุยกับผู้พันแล้วว่าอาหารการกินนั้นเรากินอะไรก็ได้แต่ผู้เขียนขอเพียงอย่างเดียวว่า         " อย่าได้ฆ่าสัตว์ "  เพื่อเลี้ยงคณะเราซึ่งเป็นความประสงค์ของตัวผู้เขียนเอง

แต่ไม่ทันการเสียแล้วครับ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!   

ผู้พันนกได้สั่งให้ทหารในค่ายจัดการฆ่าแพะเพื่อเลี้ยงดูทีมงานเรา!!!!!!!!! เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากสำหรับสัตว์ตัวหนึ่งได้สละชีวิตตัวเองเพื่อให้เรานั้นได้อิ่มท้องกัน 😢😢😢 


ส่วนอาหารที่ทำมาเป็นต้มแพะ " ต้องขอบอกได้เลยว่าอร่อยมาก " ( ทั้งๆที่ผู้เขียนเพิ่งบอกไปเองว่าไม่น่าที่จะฆ่ามันเลย ) กลิ่นหอมตะหลบอบอวนโชยมาแต่ไกลหอมมากๆ รสชาดกลมกล่อม ประกอบกับผักสดๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกเนียง หรือสตอก็สดใหม่เก็บกินได้จากต้นอย่างไม่อั้นเลย ข้าวสวยก็ปลูกกันเองซึ่งผู้เขียนไม่ชอบข้าวที่นิ่มๆแต่จะชอบที่แข็งพอสมควร พอได้ขบเคี้ยวได้บ้าง (ฟันก็ไม่ค่อยจะดีซะด้วย ) สรุปได้ว่ามื้อนั้นทีมงานก็อิ่มหนำสำราญสบายท้องกันทั่วหน้ากันครับ.....พออิ่มทั่วหน้าก็ได้เวลาเดินทางกันต่อเลยเพื่อที่จะชื่นชมกับธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบข้างสองฟากฝั่งแม่น้ำเมย

การร่องเรือชมทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำเมย ภาพที่ได้เห็นยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มากความอุดมสมบูรณ์ยังคงอยู่ รังนกกระจาบมีให้เห็นบนต้นไม้เต็มสองฝั่งแม่น้ำ แมกไม้เขียวชะอุ่มอุดมสมบูรณ์ทั้งไม้เล็กไม้ใหญ่ ไม้เลื้อยพันรอบๆต้นไม้ดูแล้วช่างเป็นเหมือนเมืองสวรรค์จริงๆแผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาทอดทาบเรียงรายบดบังแสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่ร้อนอบอ้าวให้ชาวไร่ชาวนาได้พักผ่อนเมื่อเสร็จจากภาระกิจการงานไร่นา ซึ่งเมื่อก่อนเมื่อสมัยผู้เขียนยังเด็กๆได้ออกไปทำไร่ทำนาพร้อมกับพ่อแม่ เมื่อถึงเวลาที่พักผ่อนผู้เขียนก็มักจะหลบงีบหลับใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างนี้อยู่เป็นประจำ  การเพาะปลูกมีให้เห็นเต็มริมฝั่งแม่น้ำอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำท่าเพรียบพร้อม พืชผักสดเขียวน่ารับประทานมาก ไม่ว่าจะเป็นผักกาด ผักคะน้า หรือผักกวางตุ้ง งดงามมากผู้เขียนได้สอบถามชาวไร่แถบนั้นว่าผักที่ปลูกนี้ได้ฉีดสารฆ่าแมลงหรือไม่???? คำตอบที่ได้ "ไม่ได้ฉีดสารกันแมลง" ทั้งสิ้น สิ่งที่ได้ฟังมีความรู้สึกถึงการกินดีอยู่ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง ถ้าเกษตรกรทำได้ในลักษณะแบบนี้ผู้คนบริโภคคงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกันถ้วนหน้านะครับ



เดินทางเที่ยวชมกันมาเรื่อยแว๊บหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นผ่านตาไปสะดุดสายตาทันที สิ่งที่เห็นเป็นเชิงตะกอนที่เผาศพคนตาย ทุกชนชั้นวรรณะไม่มีใครหนีรอดหลุดพ้นมันไปได้  ผู้เขียนได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นเศษกระดูกชิ้นเล็กๆน้อยๆอยู่อย่างกลาดเกลื่อน  ได้สติแล้วนั่งคิดตึกตรองว่าคนเราก็มีเพียงเท่านี้จริงๆสิ้นสุดไว้ที่ " ความตาย ซึ่งความตายเป็นผู้ถ่ายเทการกำเหนิด " เป็นสัจจะธรรมที่เที่ยงแท้ และแน่นอนที่สุด มองย้อนคิดอีกว่าการที่คนเรายังมีลมหายใจอยู่นั้นเราเคยคิดกันหรือไม่ว่า "เรา " จะสร้างหรือทำอะไรในสิ่งที่ดีงาม เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เอาเป็นแบบอย่างในการดำเนินรอยตาม  เราจะฝากอะไรไว้ให้คนเหล่านั้นได้พูดถึงคุณงามความดีที่เราได้สร้างขึ้น และทำบ้าง หรือเพียงแต่คิดว่า อยากจะได้ก็ต้องได้ , อยากจะเอาอะไรก็ต้องเอามาสนองกิเลสตัณหาตัวเองเพียงเท่านั้น จนลืมคิดไปว่าสิ่งที่ได้มานั้นมันสร้างความเดือดร้อนให้ใครต่อใครบ้าง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

" เมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้วก็มีเพียงเชิงตะกอนเล็กๆที่เห็นนี้ หรือโลงศพที่ปากหัวตัวเท่า เท่านั้นที่ปิดบังร่างกายไร้วิญญาณอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถเอาไปได้อยู่ดี ไฟจะเผามอดไหม้ร่างกายให้เหลือเพียงเศษเถ้าผงกระดูกที่ใช้การอะไรไม่ได้สุดท้ายก็เอากระดูกที่ไร้ประโยชน์ไปลอยน้ำเสียอีก คนเรามันก็มีเพียงเท่านั้นจริงๆ "   

😆😆👈👈💓💓💜❤❤

สุดท้ายที่ผู้เขียนอยากจะฝากเอาไว้......ในช่วงของชีวิตคนเรา........เปรียบเสมือน "ฟันปลา" มีจุดสูงสุด และมีจุดต่ำสุด จุดสูงสุดของชีวิตนั้น คนเราชอบ และรักมันอยู่แล้ว แต่ จุดที่ต่ำที่สุดกลับกลายเป็นว่า "เราจะปรับตัว และสามารถดำรงชีวิตอยู่กับจุดที่เผชิญอยู่นั้นได้หรือไม่ "  ทุกๆชีวิตล้วนผ่านเรื่องราวทั้งดี และร้ายมาด้วยกันทั้งสิ้น ขอให้อดทน และกล้าที่จะเผชิญกับมันให้ได้.......สุดท้ายชีวิตก็จะกลับไปสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง.....................ชีวิตคนเราก็สลับสับเปลี่ยนอยู่แบบนี้!!!!!!!!!!!!!!!!
ครั้งหน้าผู้เขียนจะพาผู้อ่านทุกๆท่านไปพบประสบการณ์เหนือยอดดอยเปเปอร์ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ผู้เขียนได้เดินทางท่องเที่ยว และเผชิญกับความทุรกันดารมากซึ่งน้อยคนนักจะได้ไปถึง ในเรื่อง           

"  ภูผาแห่งยอดดอย "



สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอขอบคุณ น้องเอ,ผู้พันเบิร์ด,ท่านนายพลฯ และเหล่าทหารทุกนายที่เอื้อเฟื้อดูแลความปลอดภัยตลอดการเดินทาง......ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


                                                           By " โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "

Thursday, September 7, 2017

"LEADERSHIP "ผู้จัดการฝ่ายขาย""


14 ตุลาคม 2559




LEADERSHIP


อีกหนึ่งหน้าที่ของความประทับใจของผมที่ได้สัมผัสมาเหมือนๆกันกับผู้จัดการฝ่ายขายทุกๆคนคือ


ตำแหน่ง "ผู้จัดการฝ่ายขาย "

วันนี้ก็อีกเช่นเคยที่จะเขียนเล่าเรื่องราวประสบการณ์ดีๆที่ผมได้มีโอกาสได้ทำได้สัมผัสกับตำแหน่ง "ผู้จัดการฝ่ายขาย " มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

มาเริ่มกันเลยนะครับกับหน้าที่ตรงนี้เวลานั้นก็ได้ผ่านมานานน่าจะประมาณ 16-17 ปีเห็นจะได้ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2539 อันนี้จำแม่น เป็นวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น " ผู้จัดการฝ่ายขาย " ของโชว์รูม เป็นวันที่มีความรู้สึกสองอย่างระคนกัน 
อย่างแรกคิดในใจ "เราจะทำหน้าที่" ตรงนี้ได้ดีหรือเปล่า 
อย่างที่สองก็คิดว่า "เราจะนำพาลูกน้องที่ต้องดูแล และยอดขายไปในทิศทางไหน? " 
เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจผม ณ เวลานั้น ทำให้จิตใจคิดฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยคิดไปต่างๆนาๆ (อันนี้เป็นเรื่องปกติของผมไปแล้วนะครับ คิดมาก และคิดอะไรไปทั่วมั่วกันไปหมด ประเภทคิดเล็กคิดน้อยคิดเองเอ่อเองอะไรประมาณนั้นมีคนเขาด่าผมมาแบบนี้ แต่ผมก็ขอบคุณคนที่ด่าผมมาอย่างมากนะครับ)

วันแรกของการงานในหน้าที่ใหม่ ยังปรับตัวกับหน้าที่ยังไม่ได้ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนอะไรหลังดี จับต้นชนปลายไม่ถูก ลูกค้าตัวเองที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนก่อนที่จะย้ายมา ผมจะเอายังไงจะดูแลลูกค้าต่อหรือจะทิ้งลูกค้าเหล่านั้นไป ก็เลยตัดสินใจที่จะต้องดูแลลูกค้าเก่าๆ และขายรถให้กับลูกค้าใหม่ที่ผมติดตามมาทั้งก่อนและหลังจะมา

ผมคิดที่จะขายเองดูแลลูกค้าเองตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ลูกน้องทั้งหมด 7 คนในเวลานั้น ได้แต่นั่งทำตาปริบๆดูสิ่งที่ผมทำ โดยผมไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่จับจ้องมองของลูกน้องผมเลย นั่นมันหมายความว่า "ผมเป็นผู้จัดการสันดานเซลส์ " ซึ่งในความคิดตอนนั้นเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมปล่อยรถคนเดียวต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 17-18 คัน ในช่วงที่นั่งในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย

ระยะเวลาผ่านไป 3-4 เดือนเห็นจะได้ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับโชว์รูมที่ผมอยู่ นั่งคิดวิตกกังวลในใจว่าเราจะทำแบบนี้ไม่ได้ ตัวเราอยู่ได้แต่เพียงคนเดียว แต่ลูกน้องเราจะอยู่ยังไง พอคิดได้อย่างนั้นก็หันกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทันที โดยเอาหลักการทำและวิธีคิดเมื่อครั้งสมัยที่เคยทำงานที่โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก (หวังว่าทุกๆคนคงจะจำกันได้) 

เริ่มจากเปลี่ยนความคิดของตัวเองเสียใหม่ "เราจะปกครองคน" ที่อยู่กับเราได้อย่างไร?,จะทำวิธีไหนที่จะสอนเขาให้เป็นเซลส์ที่ดีที่เก่งๆ ให้เขาดูแลตัวเขาเองได้ ดูแลลูกค้าของเขาได้อย่างไร? ให้เขามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการทำงานได้อย่างไร? ทุกๆปัญหาที่คิดเราจะต้องเป็นคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะปัญหาเหล่านี้มันอยู่ในมือเรา " บริษัทเขาจ้างเรามาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่จ้างเรามาเพื่อให้ดูแค่ปัญหา " ผมคิดได้อย่างนั้น ผม " เปลี่ยนมุมมองปัญหาที่เกิดให้เป็นโอกาสของผมในทันที " 

ผมเริ่มปัดฝุ่นวิธีคิดของผมแบบนี้เลย เอาหล่ะถ้าเราจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีแล้วเรามาเริ่มที่ตัวของ
 "ลูกน้อง" กันก่อนเป็นอันดับแรก เป็นความคิดที่ถูกสำหรับผมในเวลานั้น
ผมดูแลลูกน้องทั้งบอกทั้งสอนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า,วิธีการขายจะต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก,การแต่งกายควรจะต้องแต่งกายอย่างไร,การพูดเจรจากับลูกค้าควรจะเจรจาแบบไหน,การบริการลูกค้าทุกอย่าง แม้กระทั่งเวลาในการทำงานควรจะรับผิดชอบอะไรในการทำงานบ้าง,ความคิดก่อนที่จะมาทำงานในแต่ละวันเขาควรจะต้องคิดอะไรก่อนมาทำงาน  ผมสอนเขาจนหมด แต่ก็อย่างว่านะครับ ลูกน้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดีไม่เท่ากัน ต้องอาศัยความพยายามอย่างมากในการสอนเขาทั้งหมด มันยากลำบากมั๊ยที่ผมได้พูดมา

จนผมได้รู้แม้กระทั่งว่าลูกน้องแต่ละคนมีดี มีเสียแตกต่างกันอย่างไร จะแยกให้เขารับผิดชอบงานแบบไหนที่จะตรงตัวเขากับงานในแต่ละงานที่เราจะสั่งให้เขาทำ ผมสามารถแยกมันออกมาได้

ผมทำแบบนี้กับลูกน้อง 3-4 เดือน ลูกน้องลำบากผมต้องลำบากมากกว่า , ลูกน้องเหนื่อยผมต้องเหนื่อยมากกว่า , ลูกน้องทำงานหนักผมต้องทำงานหนักให้มากกว่า ผมมีความรักให้เขาตลอดมา เวลามีปัญหาผมคอยแก้ไขให้ทุกอย่างและสอนวิธีการแก้ปัญหาให้เขาเป็นเคสๆไป ให้ตัวเขาได้จดจำวิธีการแก้ปัญหานั้น ไม่เคยทิ้งลูกน้องไปไหนไม่ว่าปัญหาที่เกิดจะหนักหรือจะเบาอย่างไร (ผมเชื่อว่าผู้จัดการทุกท่านก็เป็นแบบนี้นะครับ) ผมก็ไม่เคยทิ้งเขาผมอยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดเวลาในการทำงาน หรือนอกเหนือเวลาทำงาน และสิ่งที่ผมทำก็เห็นผล ผมได้ใจลูกน้องทั้งหมดมาทุกคน (ได้ทีผมหล่ะครับทีนี้ผมจัดหนักเลย)

โชว์รูมซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นโชว์รูมที่ห่างไกลมากไม่มีใครที่อยากจะมาอยู่ที่โชว์รูมนี้ ต้นหญ้าสูงๆปิดบังทัศนียภาพหน้าโชว์รูมซึ่งดูเผินๆผ่านๆจะมองแทบไม่เห็นโชว์รูมนี้เลย และยอดขายก็ขายน้อยมากเมื่อก่อนยอดขายที่โชว์รูมนี้ขายกันได้ไม่ถึง 10 คันต่อเดือน มันเป็นอะไรที่ยากและท้าทายความสามารถของผมอีกแล้ว (มันมีแต่เรื่องที่ให้คิดตลอดเวลาเลยแต่ก็ดีนะครับมีอะไรให้ฝึกสมองของเราดี) ซึ่งเมื่อก่อนตอนเป็นเซลส์แมนผมทำงาน 32 วันในหนึ่งเดือน แต่หน้าที่ผู้จัดการผมทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 45 วันต่อเดือน อย่าถามถึงเวลาที่จะให้ผมจะได้พักเลยนะครับตอบได้เลยว่า "ไม่มี" แต่สุขใจอย่างมาก (คิดว่ามันคงไม่เหมือนกับผู้จัดการสมัยนี้ที่ต้องการหาแต่วันหยุดพักกันนะครับ)

ผมเริ่มปฏิบัติกับลูกน้องใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่พาลูกน้องดูแลโชว์รูมให้ดูสะอาดสะอ้านน่ามองมากยิ่งขึ้น ปัดกวาดเช็ดถูกันใหม่หมด จัดการตกแต่งปักธงราวให้ดูดีมีสีสรรมากขึ้นกว่าเดิม ทำอยู่อย่างนี้กับลูกน้องอยู่นานพอสมควรและทำควบคู่ไปกับการสอนงานขายเขาไปด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่จะทิ้งไปไม่ได้เลยสำหรับงานขาย ทำสองสามอย่างในเวลาเดียวกัน แต่อยู่ในขั้นตอนเดียวกันไม่ได้ข้ามขั้นตอนไหนเลยมันอยู่ในแผนงานที่ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก

เมื่อพูดถึงความลำบากยิ่งเวลาหน้าฝนๆตกหนักๆน้ำท่วมหน้าโชว์รูม อย่าให้ได้บอกเลยนะครับมันจะลำบากแค่ไหน ผมกับลูกน้องต้องแบกท่อพระยานาค (ท่อสูบน้ำเป็นเหล็กขนาดใหญ่) เดินเครื่องสูบน้ำกันเอง มันเหนื่อยแบบสุดๆเลย ไม่เป็นอันต้องขายรถกันเลยถ้าเวลาน้ำท่วม ใครจะกล้าเข้ามาซื้อรถกับโชว์รูมของผมกันหล่ะครับถ้าเราไม่ทำ

ผ่านช่วงระยะเวลาของการทำมาได้ประมาณ 6-7 เดือน ทุกๆอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทางของมันมากขึ้น ทั้งจิตใจลูกน้องที่อยู่กับผมเองมันแข็งแรงแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมมาก โชว์รูมก็พร้อมเต็ม 100% ผมเริ่มเดินเครื่องเต็มสูบอย่างเต็มที่เลยที่นี้ที่จะต้องนำพาลูกน้องขายอย่างไรให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก

ผมเริ่มคิดถึงเรื่องยอดขายก่อนเป็นอันดับต่อมา แต่ก่อนที่จะขายเราต้องมีทีมงานที่แข็งแรงเสียก่อน ผมสอนและแนะนำลูกน้องใหม่ทั้งหมด (แต่ก็สอนมาเรื่อยๆตั้งแต่ตอนแรกๆ) สอนถึงวิธีที่จะหาลูกค้ามาได้อย่างไร ที่จะทำให้ได้มาซึ่งลูกค้าที่จะต่อยอดเป็นยอดขายได้ และจะต้อง Keep ลูกค้าให้อยู่กับเราให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้อย่างไร โดยผมไม่ยอมที่จะให้ลูกน้องต้องอยู่เฉยๆในโชว์รูมอย่างเด็ดขาดมันเสียเวลาในการทำมาหากินอย่างสิ้นเชิง พยายามที่จะสอนให้ลูกน้องสร้างโอกาสในการขายรถของตัวเองทุกๆวินาที และทุกๆวันโดยมีผมเป็นคนคิดหาวิธีการเหล่านั้นให้กับเขา



ในทุกๆเช้าตอนประชุมกันผมจะถามปัญหาต่างๆที่ลูกน้องได้ไปเจอมาซึ่งแต่ละคนเจอมาไม่เหมือนกันของลูกค้าเอามาเล่าให้ฟังกันในที่ประชุมเพื่อวิเคราะห์แก้ปัญหา  ในส่วนตัวผมนั้นไม่เคยที่จะคิดเอาเฉพาะความคิดของตัวเองเป็นหลักใหญ่แต่จะคอยถามถึงวิธีการต่างๆจากลูกน้อง ปัญหาทั้งหมดจะถูกนำมาประมวลปัญหาและวิธีแก้ไขร่วมกัน สุดท้ายก็จะถูกประมวลปัญหา และแนวทางการแก้นั้นด้วยตัวของผมเองโดยการแยกคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน (ท่านคงจะเห็นได้นะครับว่าคนเป็นหางเสือเรือที่จะต้องกำหนดทิศทางของเรือนั้นจะต้องมีแนวคิดอย่างไร)

ในปีแรกของการเป็นผู้จัดการนั้นซึ่งมีเวลาในการทำงานเพียง 9 เดือน (เม.ย.-ธ.ค.) สำหรับหน้าที่ของผู้จัดการขายครั้งแรกในชีวิต มีทั้งสุขทั้งทุกข์ เราก็จะไปพร้อมๆกันกับทีมงานที่แข็งแรงของผมทุกคน เราสร้างกันมานานพอสมควรแล้วผมได้มีทีมงานที่แข็งแรงทั้งทางด้านสภาพจิตใจร่างกายและการทำงานสมดั่งใจที่ปราถนาตั้งใจทำให้เกิดได้ ผมได้ "ลูกน้องที่เป็นเหมือนแขนและขา" ของผมจริงๆ สรุปโดยรวมในปีแรกของการรับหน้าที่เรามียอดปล่อยรถทั้งสิ้น 243 คัน (ระยะเวลาเพียง 9 เดือน) จากโชว์รูมที่ไม่มีใครอยากจะมากัน เราเริ่มที่จะมีชื่อกับเขาแล้วเริ่มที่จะขึ้นทำเนียบอีกครั้งแล้วครับ เหมือนกับตอนที่ผมเป็นเซลส์แมน



ที่ผมพูดให้ท่านได้ฟังนี้ก็เป็นเพราะการที่ผมคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องผ่านกระบวนการทางความคิดของผมเสียก่อน คิดแบบเป็นขั้นเป็นตอนและไม่ก้าวข้ามการทำของแต่ละขั้นตอนไป ให้ความสำคัญกับขั้นตอนที่ทำอยู่เป็นหลักก่อนเมื่อสำเร็จแล้วค่อยว่าในขั้นตอนต่อไป 

โดยทั่วไปแล้วที่ผมได้เห็นๆกันมาผู้จัดการจากทั่วประเทศ สมัยนี้เน้นเพียงแต่ยอดขายเท่านั้นซึ่งน้อยคนนักที่จะคิดและวางแผนการทำงานให้ดีๆโดยส่วนมากแล้วไม่ได้คำนึงถึงบุคคลากรของท่านที่จะทำเลย หรือคิดน้อยมากกับเรื่องนี้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดกับบุคคลากรของท่านก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าจะให้ผมได้พูด ท่านคิดแต่เพียงยอดขายต่อเดือนต่อปี ที่ท่านจะได้มาเพียงเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ท่านจะเริ่มพัฒนาลูกน้องของท่านก่อนเลยซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานของยอดขาย หรือสิ่งที่เราคิดและทำ นี่เป็นการคิดแบบเอาผลลัพท์ที่จะได้เข้าว่าก่อน ลืมหันไปมองตัวการสำคัญที่จะทำให้ผลลัพท์นั้นเกิดขึ้นได้หรือไม่ได้จริงๆ คือ "ลูกน้อง " นั่นเอง ที่เราทำนั้นเรายังพัฒนาเขาได้ไม่เต็มที่นัก การรวมน้ำใจของลูกน้องให้เป็นหนึ่งมันเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้จัดการอย่างเราๆท่านๆมาก สิ่งนี้อยากจะบอกให้ผู้จัดการขายทุกๆท่านได้รู้และพยายามทำมันให้ได้มันจะนำพาความสำเร็จอย่างที่เราได้ตั้งใจไว้ในการทำงานทุกๆอย่างนะครับ  หรืออีกอย่างหนึ่งที่ผู้จัดการฝ่ายขายมักคิดและกันมาก คือ "ผู้จัดการฝ่ายขาย แบบ บู๊ สุดติ่ง "  ผมขออนุญาตที่สอบถามท่านอย่างนี้ว่า ที่ผู้จัดการที่ท่านว่าท่านชอบทำงานแบบ "บู๊ " มากกว่า ที่ว่าท่านชอบทำงานแบบบู๊ท่านทำอย่างไรบ้าง เอาตามที่ผมคิดและได้สัมผ้สมาก็แล้วกันนะครับ แบ่งได้ดังนี้

1. ออกบูธตามห้างดังๆ หรือตลาดร้อนรายวัน
2. ออกแจกใบปลิว ตามมีตามเกิดของลูกน้อง (ซึ่งไม่แน่ว่าลูกน้องนั้นจะแอบหลบหรือเปล่า)
3. ให้รถแห่ ออกประกาศเสียงตามสายไปเรื่อยๆ
4. ขายลูกค้าออนไลน์ Internet ลูกค้าเหล่านี้เป็นลูกค้าที่ช๊อปมา และราคานั้นแรงมากๆ ท่านยังจะขายได้อีกหรือ?

ฟังๆดูแล้วที่ว่าท่านทำงานแบบ " บู๊ " มันมีเพียงเท่านี้ ซึ่งผมมองดูแล้วว่าทุกยี่ห้อรถยนต์ หรือผู้จัดการทุกๆโชว์รูมก็ได้ทำเหมือนๆกันกับท่าน ท่านยังไม่ได้หาวิธีการทำให้แตกต่างออกไปเลย ยังย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังกลับไปเป็นเหมือน ยุคที่ผมยังเป็นผู้จัดการ เหมือนสมัยก่อนซึ่งไม่แตกต่างจากที่ผมได้ทำเลย ทั้งๆที่ท่านเองอยู่ในยุคที่มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมากกว่า มีแนวคิดที่ดีกว่า มีข้อมูลต่างๆที่พร้อมมากกว่าสมัยที่ผมเป็นผู้จัดการเสียอีก  ท่านยังคิดทำได้เท่านี้  แต่สิ่งที่พูดนี้ไม่ได้ว่าอะไรผู้จัดการนะครับเพียงแต่ให้ทุกๆท่านได้มองอะไรที่กว้างไกลมากกว่านี้โดยต้นเหตุที่ท่านจะต้องแก้ไขคือ "ลูกน้อง" ของท่านทุกๆคนนะครับ (ผมเป็นกำลังใจให้กับผู้จัดการ และทีมงานขายทุกๆคนขอให้ตั้งใจทำมันให้เกิดให้ได้นะครับ.....ผมขอเป็นกำลังใจ)

"ถ้าบุคลากรไม่แข็งแรง ยาก!!ที่จะทำอะไรให้สำเร็จลงได้"


เรามาว่ากันต่อเลยนะครับเริ่มต้นกับศักราชใหม่ของปีต่อมา ด้วยการเริ่มต้นที่ผมมีทีมงานขายที่แข็งแรง ผมเริ่มต้นตั่งแต่ในวันแรกๆของเดือนเลยทันที โดยที่ผมได้กำหนดเป้าหมายประจำเดือนในแต่ละเดือน และประจำปีเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ช่วงต้นๆ และยังได้วางแผนการทำงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยมีแผนการทำงานที่ผ่านมาจากปีที่แล้วเป็นตัวอย่างในการทำเพียงแต่ปรับปรุงเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในเดือนหนึ่งๆผมและทีมงานขายของผมจะต้องปล่อยรถให้ได้เดือนละ 60 คัน โดยกำหนดแผนการทำงานของแต่ละคน เพื่อสนับสนุนแผนที่ได้วางเอาไว้ และจะต้องให้ทีมขายของผมได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้อีกด้วย เข้าใจทั้งวิธีการทำงานของตัวเอง และส่วนรวมที่จะต้องทำมันให้เกิดให้ได้ กิจกรรมต่างๆก็ได้ถูกวางไว้ในแผนการเตรียมงานก่อนล่วงหน้าเรียบร้อย และค่อนข้างที่จะชัดเจนที่จะให้มันเกิดขึ้นได้ในแต่ละเดือน



ผมวางแผนแม้กระทั่งการระบายรถที่คงค้างในบ้านได้อย่างไรจัดเตรียมการไว้ทั้งหมดทุกๆอย่าง ซึ่งในขณะนั้นเรามีรถที่คงค้างในบ้านประมาณร่วมๆ 100 กว่าคันเห็นจะได้ ซึ่งเป็น Stock รวมทั้ง 3 สาขา (ความคิดของผมมันเริ่มคิดแผนชั่วอีกแล้วครับ)ผมจะทำอย่างไรที่จะให้ลูกน้องเน้นงานขายรถที่มีอยู่ในบ้านก่อนใครเขา ทั้งๆที่สาขาอื่นไม่อยากจะขายกัน คิดเพียงแต่ว่าไม่มีลูกค้า,มันขายยากมาก (เสร็จผมแล้วครับ) 
นั่งคิดหาวิธีที่จะให้ลูกน้องได้ขายรถที่มีอยู่อยู่โดยไม่ต้องรอรถที่ยังไม่มา หรือยังไม่มีในช่วงนั้นอย่างน้อยลูกน้องก็จะมีเงินได้จับจ่ายใช้สอยกัน




คิดจัดการวางแผนอยู่ได้ประมาณ 3 วัน กระดาษ A4 หมดไปเป็น 10-20 แผ่น เครื่องคิดเลขขอแทบจะพรุนตามนิ้วที่กดไป ผมได้แผนที่ต้องการทำเรียบร้อย ก็เริ่มปฏิบัติการในทันที โดยเริ่มทำความเข้าใจในเทคนิคการขายรถที่ค้างใน Stock กันก่อนเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้สอนลูกน้องมา เราจะหากลุ่มลูกค้ามาจากไหน แล้วเราจะดำเนินการกับลูกค้าเหล่านี้ยังไง เสร็จเรียบร้อยก็ให้ลูกน้องทั้งหมดออกจัดการตามแผนที่วางเอาไว้ทันที ไม่น่าเชื่อครับในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน สิ่งที่วางแผนเอาไว้ได้เห็นผลกลับมาเกินคาดโดยลูกน้องทั้ง 7 คน มียอดรับจองเข้ามา 68 คันสำหรับรถใน Stock ที่คงเหลืออยู่ สร้างความประหลาดใจให้กับเจ้านายเป็นอย่างมาก ซึ่งผลลัพท์ที่ทำมานี้ผมยกประโยชน์ให้กับลูกน้องของผมทั้งหมดที่เขาเข้าใจกับแผนการทำงานที่ได้คิด และวางเอาไว้ สามารถที่จะปล่อยรถออกไปได้ในเดือนนั้น 59 คัน จาก 68 ยอดที่จองมา (มันสุดยอดจริงๆ)

ท่านลองคิดดูนะครับการที่ผมได้ลูกน้องแบบนี้ และสอนเขาแบบนี้มันคุ้มค่ามากหรือไม่ เป็นสิ่งที่ทีมงานของเราทุกคนร่วมกันสร้างทำมาด้วยกัน ยังเกิดประโยชน์โดยรวมให้กับบริษัทได้มากอีกด้วย ชื่อเสียงต่างๆก็ตามผมมา (อันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงความสุขทางใจเล็กๆน้อยแค่นั้นสำหรับชื่อเสียง) ซึ่งในปีนั้นเองทีมงานขายของเราทำเป้าขายทั้งปีได้ 537 คัน เกินเป้าที่เราได้คาดการณ์เอาไว้เมื่อต้นปี (ตั้งเป้าเอาไว้ในปีนั้นเพียง 440 คันเท่านั้น) หลังจากการทำงานกันแบบนี้แล้ว ลูกน้องของผมที่คิดว่าจะหาเพิ่ม มันไม่จำเป็นต้องหาเพิ่มให้ยากเลยครับ เขามาหาผมเองโดยไม่ต้องออกแรงหาให้ยากเลย จากเิดม 7 คน กลายเป็น 15 คน ในเวลาอันสั้น (อย่าไปคิดเพียงเพื่อต้องการเพิ่มคนเลยครับ ในขณะที่มีอยู่ท่านยังไม่สามารถที่จะควบคุมดูแลคนของคุณที่มีอยู่ให้เขาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเลย)

ผมขึ้นทำเนียบของผู้จัดการฝ่ายขายดีเด่นในปีนั้นเอง ได้รับรางวัลจากบริษัทผู้ผลิต เช่น เข็มกลัดทองคำ เสื้อสูตรสามารถ,ประกาศณียบัตรต่างๆ,ไปท่องเที่ยวต่างประเทศอีกหลายต่อหลายประเทศมากมาย (ไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชาวนาคนหนึ่งจะมีโอกาสแบบนั้นกับเขาบ้าง) และอะไรอีกหลายๆอย่างตามมา ทางบริษัทที่ผมอยู่เองก็ได้มอบรางวัลสำหรับ " ผู้บริหารยอดเยี่ยม " ด้วยรางวัลต่างๆอีกมากมายเช่นกัน เป็นกำลังใจอันดีสำหรับการทำงาน แต่สำหรับตัวผมเองแล้วผมจะทำงานตำแหน่งนี้ประสบผลสำเร็จคนเดียวไม่ได้ถ้าหากว่าไม่มี "แขนและขา" ที่แข็งแรงทีมงานขายที่ดีๆอย่างนี้ ผมยกประโยชน์และคุณงานความดีนี้ให้กับทีมงานขาย และธุรการขายของผมทั้งหมดทุกๆคน 

ผมเองไม่ได้ยินดีกับรางวัลที่ตามมามากเท่าไรนะครับ แต่สิ่งที่ผมได้มากกว่านั้นคือ " ทีมงานขาย " ที่ผมได้เฝ้าเพียรพยายามที่จะสร้างเขาขึ้นมาต่างหาก ที่มันเป็นความภาคภูมิใจมากกว่าสิ่งอื่นใดที่ได้มาทั้งหมด

เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ดีที่อยากจะพูดและเขียนเพื่อให้ผู้จัดการได้รับรู้ ไม่ใช่ผมจะเก่งอะไรมากมายขนาดนั้น แต่มันเป็นความโชคดี ในความคิดและวางแผนงานที่ดี และประกอบกับผมได้ลูกน้องที่ดีมีความเชื่อฟังในการบอกการสอน , มีความรักสามัคคีร่วมกันทำงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน , การจัดการกับสิ่งต่างๆที่ลงตัว , สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการคิดและการทำทุกๆอย่างมาประกอบกันอย่างลงตัวเพียงเท่านี้เอง


เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รับฟัง แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ผมได้ทำนี้จะเป็นสิ่งที่ทุกๆคนจะยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติได้ทุกอย่างนะครับเพราะมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น และไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนตายตัว หรือเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้ทุกๆคนประสบความสำเร็จได้ เป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ผมได้ลงมือทำอย่างตั้งใจ 



เป็นบทความๆหนึ่งที่ผมตั้งใจที่จะเขียนเพื่อเป็นหลักและแนวทางในด้านความคิด และหลักการทำงาน ขอให้ทุกๆคนที่ได้อ่านบทความนี้จงใช้การวิเคราะห์การทำเพื่อให้เข้ากับลักษณะการทำงานของแต่ละบุคคลเอานะครับ ผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับทุกคน และขอขอบคุณทุกคนที่ได้อ่าน และได้ติดตามผลงานทุกๆเรื่องที่ผ่านมา ความดีทุกๆอย่างที่ได้พยายามเขียนเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของผมนี้ ของส่งผลกลับไปยังทุกๆท่าน และผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด...........




                                                                                                                                                                Ta.............รักและห่วงเสมอ



                   

                                                                                              ด้วยความปราถนาดีจาก


                                                                                             " โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "


                                                                                                         สวัสดี




ในตอนหน้าผมจะพยายามเขียนเรื่องของตำแหน่งผู้จัดการสาขา หรือที่เรียกกันติดปากว่า "Branch Manager" ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ดีๆที่ผมได้สัมผัสมาอีกตำแหน่งหนึ่งให้ได้อ่านกันนะครับ





 " ปัญหามีไว้แก้ไข เป้าหมายมีไว้พุ่งชน "