Tuesday, January 23, 2018

" คนเถื่อน "


💢1/08/2560💢

" วิถีคนเถื่อน "
💓💓💓💓💓


" แม่น้ำเมย " 

แม่น้ำแห่งเสรีภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของสองฟากฝั่งแม่น้ำเป็นเส้นขันเขตแดนระหว่าง ไทย-พม่า อย่างชัดเจน 

แม่น้ำสี "น้ำตาลขุ่นเข้ม" ไหลหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ครั้งเมื่อสมัยก่อนแม่น้ำสายนี้เคยเป็นแม่น้ำ "สายเลือด" ซึ่งเกิดมาจากความขัดแย้งเข่นฆ่ากันด้วยสาเหตุต่างๆ นำพามาซึ่งความขมขื่นสะเทือนใจของพี่น้องทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ความสูญเสียครั้งนั้นเป็นบ่อเกิดของความพลัดพราก จากถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน  พลัดพลากจากคนรัก ฯลฯ

......... แต่วันนี้แม่น้ำเมยได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็น 

" แม่น้ำเศรษฐกิจที่รุ่งเรื่อง " 

เป็นเรื่องที่น่ายินดีกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้  สำหรับเรื่องที่ผู้เขียนจะเขียนยังวนเวียนอยู่กับการเดินทางท่องเที่ยวเฉกเช่นกับงานเขียนหลายๆเรื่อง แต่เรื่องนี้จะพิเศษแตกต่างไปจากงานเขียนในครั้งก่อนๆมา  คงจะเหมือนกับที่หลายๆคนอยากที่จะไปเหมือนกับที่ผู้เขียนได้ไปมา เอาเป็นว่าเรื่องที่ผู้เขียนจะเขียนขึ้นนี้ถือเป็นตัวแทนสำหรับทุกๆคนก็แลัวกันนะครับ เรามาเดินทางไปพร้อมๆกันเลย.......

ก่อนที่จะเริ่มเรื่องสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้เขียนต้องขอกล่าวคำว่า "ขอโทษ" กับสิ่งที่เขียนนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะพาดพิงหรือกล่าวอ้างถึงใครคนใดคนหนึ่งในทางที่ไม่ดี แต่กลับเป็นเจตนาดีที่ผู้เขียนได้เขียนตามสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัสมาเพื่อที่จะบอกกล่าวให้คนทั่วๆไปที่ได้อ่าน และได้มีความรู้สึกเฉกเช่นที่ผู้อ่านได้ไปกับผู้เขียนเพียงเท่านั้นนะครับ



การเดินทางแบบ 
"เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย" ครั้งนี้ผู้เขียนไม่มีแม้กระทั่ง Passport หรือหนังสือเดินทางเข้าเมืองมาเกี่ยวพันแต่อย่างใดเลยเป็นการ  "ลักลอบ" เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่ไม่อยากให้ท่านผู้อ่าน หรือหลายๆคน " เอาอย่าง"  แต่ประการใด เพียงแต่ผู้เขียนต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ในลักษณะแบบนี้เท่านั้น ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จะตามมาเลยนะครับ!!!!!
การเดิิินทางของผู้เขียนในครั้งนี้ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆตามประสาคนที่ชอบไปๆมาๆอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนคนอื่นทั่วๆไปนัก 

แต่ด้วยความบังเอิญผู้เขียนที่ได้มีโอกาสเข้าพบท่านนายพลท่านหนึ่ง (ขอสงวนที่จะไม่เอ่ยนาม) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จริงๆจากการเดินทางในครั้งนี้ และเป็นเรื่องที่ยาก!!!!!!มากๆ สำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆท่านๆ ที่จะเข้าถึงตัวท่านนายพลฯท่านนี้ เพราะการอารักษ์ขาของเหล่าทหารกล้ามีมากเหลือเกิน อาวุธครบมือซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย.........................................................

" น้องเอ " (นามสมมุติ)  ที่ผู้เขียนได้รู้จัก ซึ่งตัวน้องเอนี้เป็น " หลานชายของท่านนายพลซึ่งท่านเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกองกำลังทหารกระเหรี่ยงในพื้นที่ความรับผิดชอบริมฝั่งแม่น้ำเมยของประเทศพม่า หรือเมืองเมียววดี" นั่นเอง  

เย็นย่ำค่ำลงกว่าทีมงานจะออกเดินทางได้ก็ปาเข้าไปเกือบๆ 18:00 น. เพราะต้องรอทีมงานที่จะไปกับผู้เขียน พอเดินทางไปถึงริมฝั่งแม่น้ำเมยก็มีเรือเข้าเทียบท่ามารับเพื่อที่จะข้ามฟาก ฝั่งแม่น้ำเมยก็ไม่ได้กว้างมากมายอะไรนัก ความกว้างก็ประมาณ 10 กว่าเมตรเห็นจะได้ครับพอข้ามฟากไปถึงอีกฝั่งก็มีรถยนต์มารอรับ มาพร้อมกับกองกำลังทหารกระเหรียงที่มารออยู่ราวๆประมาณ 10 คนเห็นจะได้อาวุธครบมือ (ดูน่ากลัวมาก) 

พอขยับตัวขึ้นรถได้ก็เริ่มมีเสียงดังเอะอะโวยวายตามหลังมาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นดูเหมือนกับจะมีเรื่องมีราวอะไรเข้าแล้ว พอหันกลับไปดูต้นตอของเสียงนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา (เป็นพวกของเราเอง) ภาษาที่พูดกันจะเป็นภาษากระเหรี่ยงซึ่งมีแต่น้องเอเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลให้ฟังพอจับใจความคำสั่งนั้นได้ว่า " ให้ทหารทุกๆนายดูแลความปลอดภัยให้กับทีมงานให้ดีๆ โดยเฉพาะตัวของอาจารย์ (ผู้เขียน)"            

ผู้พัน "นก" เจ้าของต้นเสียงอันทรงพลัง
เมื่อดวงอาทิตย์เย็นย้อยคล้อยต่ำลงความมืดมิดของรัตติกาลก็เข้ามาปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ แต่ยังพอมีแสงจากไฟรถยนต์ที่ทำให้ผู้เขียนนั้นพอที่จะมองเห็นหน้าค่าตาของคนสั่งการได้รางๆ ผู้สั่งการเป็นชายรูปร่างเล็กๆแต่น้ำเสียงนั้นทรงพลังอย่างมาก มารู้ในภายหลังว่าคนนั้นก็คือ "ผู้พันนก" (นามสมมุติ) แต่ขณะนั้นยังไม่ได้ทำความรู้จักกันมากนัก

เมื่อเวลาที่ผู้เขียนปวดท้องเบาต้องการที่จะปลดทุกข์ (ข้างทาง) ผู้พันคนนี้ก็สั่งให้ทหารเดินติดตามไปเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างใกล้ชิดราวกับว่าผู้เขียนนั้นเป็น "คนสำคัญ" ยังไงยังงั้นเลย รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยแบบนั้นจริงๆ (55555)

ทหารที่ดูแลเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำเมย






ส่วนพาหนะที่ใช้เดินทางก็เป็นรถยนต์ประจำของกลุ่มทหารเป็นรถยนต์ปกติเหมือนๆบ้านเราครับ (รถยนต์ที่ประเทศพม่าที่กองกำลังทหารใช้การเป็นรถยนต์มือสองที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นราคาค่อนข้างถูกมากราคาต่อคันก็ประมาณไม่ถึงหนึ่งแสนบาทเพราะไม่มีภาษีอะไรเลย ส่วนน้ำมันนั้นราคาเพียงลิตรละ 11-12 บาท เท่านั้นซึ่งแตกต่างจากบ้านเรามาก) ส่วนถนนหนทางนั้นก็ทุรกันดารเอาเรื่องอยู่ เล่นเอาทีมงานที่เดินทางไปด้วยแทบจะอ้วกไปตามๆกันเพราะรถยนต์ขณะวิ่งนั้นโคลงเคลงไปมาเกิดอาการเมารถต้องหาหยูกยามาบรรเทาอาการเหล่านั้น ถนนหนทางมีลาดยางบ้างไม่ลาดยางบ้างคละเคล้าผสมกันไปความกว้างของถนนก็ประมาณ 3 เมตรเท่านั้น  เวลาที่รถสวนทางกันก็ต้องหยุดเพื่อรอให้อีกคันได้ผ่านไปก่อนอีกคันถึงจะไปต่อกันได้



 นั่งรถมาเรื่อยๆสิ่งที่สังเกตุเห็นได้เด่นชัดคือร้านขายหมากพลูเป็นคำๆมีให้เห็นทั่วไปริมสองข้างทาง ส่วนรสชาตนั้นต้องขอบอกเลยว่าอร่อยมาก มีหลากหลายรสชาดให้ลิ้มลองกัน ทั้งเมามาก เมาน้อย รสหอมหวาน หรือสูตรน้ำผึ้งก็มีครบ ลูกค้าที่แวะเวียนซื้อหานั้นสามารถเลือกซื้อกันได้ตามที่ชอบใจ ส่วนราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมากมายนัก ราคาเพียงห่อละ 10-15 บาทเอง ส่วนผู้เขียนมีหรือที่จะไม่ลิ้มลองรสชาดกับเขาบ้างพอได้ลองแล้วยอมรับเลยว่า เมาๆๆๆๆๆๆๆ สุดๆเลย

ารเดินทางใช้เวลาร่วมๆ 2 ชั่วโมงเศษๆแต่ต้องขอบอกเลยว่าสุดแสนจะทรมานจริงๆ ด้วยระยะทางเพียงไม่ถึง 15 กิโลเมตร พอถึงจุดหมายปลายทาง คือ "บ้านพักของท่านนายพล" การต้อนรับขับสู้นั้นไม่ต้องพูดถึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองอย่างมากภายใต้ชายคาบ้านสองชั้นแห่งนี้ ซึ่งสวนทางกับความคิดของผู้เขียนเองว่า ที่บ้านพักแห่งนี้น่าจะเต็มไปด้วยความรู้สึกอึมครึม อึดอัด ในความคิดของผู้เขียนเป็นอย่างนั้นจริงๆ....................................

ทันทีที่ได้ก้าวย่างเข้าไปในบริวณชั้นล่างของบ้าน สิ่งที่ได้พบเห็นนั้นเต็มไปด้วยเหล่าทหารกล้า และผู้นำชุมชนต่างๆ กำลังนั่งดูทีวีกันอย่างเพลิดเพลิน ต่างพากันหัวเราะสนุกสนาน ส่วนบางกลุ่มก็นั่งตะบันหมากกินกันอย่างเอร็ดอร่อย (ผู้เขียนก็ต้องลองกินหมากกับเขาอีกครั้ง!!!!!!!!!!ไม่เหลือครับจัดไป) ทักทายกันด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง และเป็นมิตรทั้งๆที่ไม่ได้เข้าใจในภาษากันเล๊ยแม้แต่น้อย แต่สิ่งหนึ่งผู้เขียนสัมผัสได้คือรอยยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพเกิดขึ้น  ณ  ที่นี้เองซึ่งแตกต่างจากความคิดของผู้เขียนเมื่อก่อนเดินทางมา

น้องเอได้พาผู้เขียนเข้าพบกับท่านนายพลบริเวณชั้นสองของบ้าน ายพลท่านเป็นคนรูปร่างท้วมสีผิวออกจะคล้ำๆแต่สมส่วนพอดี ท่าทางสุขุมมีสง่าน่าเกรงขามมาก ผู้เขียนได้แนะนำตัวเองและทีมงานที่เดินทางไป ด้วยความนอบน้อมการสนทนากับท่านนั้นท่านจะพูดเป็นภาษากระเหรี่ยง ต้องอาศัยผู้แปลให้ฟังพอที่จะจับใจความนั้นได้ว่า......................................................

" เรายินดีต้อนรับ และมีความยินดีอย่างมากที่ได้มาทำความรู้จักกัน ทางเราจะดูแลคณะที่มา ไม่ต้องกังวลในเรื่องความปลอดภัยใดๆ ทั้งนี้ยังจะดูแลในเรื่องของการกินอยู่หลับนอนให้ทั้งหมดอย่าได้วิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น พร้อมทั้งได้เชิญทีมงานให้พักผ่อนกันที่บ้านของท่าน "(... แต่ในความคิดนั้นไม่สามารถที่จะรบกวนท่านมากไปกว่านี้ได้ เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว) พอได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในทันที!!!!!!!!!

....จากการพูดคุยมีใจความๆหนึ่งที่ผู้เขียนได้ฟัง " บ้านเมืองทุกวันนี้มีแต่ความขัดแย้งเอารัดเอาเปรียบกัน ขัดผลประโยชน์กัน เข่นฆ่ากันไม่เว้นในแต่ละวันนี่หล่ะคืน ฅน " เป็นคำพูดที่ผู้เขียนคุ้นเคยหรือได้ยินมามาก แต่ทำไมเมื่อได้ยินคำพูดๆนี้อีกครั้งมันทำให้ความรู้สึกว่า ถ้าหากคนเรา "รู้จักคำว่าพอ" และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันให้มากๆแล้วสังคมมันจะน่าอยู่มากขนาดไหน???????????" และท่านได้พูดต่ออีกว่า ท่านฯมีโครงการที่จะสร้างสถานที่ท่องเที่ยวหรือสวนสาธารณะเอาไว้ให้พี่น้องชาวกระเหรี่ยงได้พักผ่อนหย่อนใจ โดยโครงการนี้ท่านได้ส่งผู้นำชุมชน และทหารคนสนิทเดินทางไปดูงานที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการของในหลวงในรัชกาลที่ 9 ของพสกนิกรชาวไทยเรานั่นเอง ท่านนายพลท่านมีความรัก เคารพ และศรัทธาต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างมาก ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวไทยที่มีพ่อหลวงที่เป็นแบบอย่างเช่นนี้....................................


พอเสร็จสิ้นจากภาระกิจในเข้าพบกับท่านนายพลแล้วผู้เขียนและทีมงานตกลงกันว่าที่หลับนอนนั้นขอพักในอีกที่หนึ่งซึ่งไม่ใช่บ้านของท่ายนายพลเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน แต่ขอไปที่บ้านพักของทหารซี่งอยู่ห่างจากบ้านของท่านนายพลไม่มากนัก แต่ก็ยังอยู่ในเขตการอารักษ์ขาของทหารทั้งหมด (ในความคิดขณะนั้น คำว่า "บ้านพักของทหาร" คงจะมีห้องหับพร้อมเพรียงพอที่จะหลับนอนได้อย่างสบายได้  แต่ไม่เป็นอย่างที่คิดเอาเสียเลยครับ...ผู้เขียนเองไม่อยากที่จะบรรยายถึงสภาพแวดล้อมเลย) 

พอถึงบริเวณที่พักท้องที่ร้องเสียงดังมาตลอดทางก็เริ่มออกอาการมากขึ้นเพราะหิวข้าวมาก ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาก็เริ่มจัดแจงทำอาหารการกินอย่างเร่งด่วน สำหรับข้าวปลาอาหารก็แวะซื้อและเตรียมพร้อมมาจากตลาดริมเมย จุดไฟตั้งเตา (ผู้เขียนลงมือทำเอง) ตามมีตามเกิดกัน พร้อมกับสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเครื่องดื่มที่ตระเตรียมมา ทั้งนี้ก็ได้รับความร่วมมือของเหล่าทหารที่ทั้งดูแลความเรียบร้อย และดูแลความปลอดภัยตลอดการเดินทางไป ช่วยกันทำไปพูดคุยถึงสาระทุกข์สุขดิบกันไป เพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงกับข้าวก็เสร็จพร้อมที่จะลงมือรับประทานอาหารกันได้....................เมนูที่ทำนั้นก็ไม่มีอะไรมากนักเป็นเพียงการเผากุ้ง,เผาปลาหมึก แล้วก็มีหน่อไม้ที่เหล่าทหารทำการถนอมอาหารเอาไว้รับประทานกัน ด้วยตัวผู้เขียนเองเป็นคนกินอยู่แบบง่ายๆก็เลยไม่มีปัญหาอะไร

พอได้เวลาที่พอเหมาะพอเจาะผู้เขียนก็ขอตัวเพื่อที่จะอาบน้ำอาบท่าจัดแจงความเรียบร้อยส่วนตัว การอาบน้ำนั้นไม่ได้มีห้องน้ำสำหรับที่จะอาบน้ำแต่เป็นการอาบน้ำในที่โล่ง แสงสว่างที่ได้จากดวงจันทร์ก็เพียงพอที่ทำให้ผู้เขียนพอได้เห็นอะไรได้บ้างนึกถึงเมื่อครั้งที่อยู่ชนบทการอาบน้ำท่ามกลางแสงจากดวงจันทร์ อากาศที่เย็นสบายมันรู้สึกถึงความสุขเมื่อได้คิดถึงตรงนั้นอีกครั้ง พออาบน้ำเสร็จก็เริ่มจัดแจงหาที่หลับที่นอนตามแต่สภาพที่พอจะนอนได้ อากาศก็เย็นสบายไม่ถึงกับหนาวมาก อากาศนั้นบริสุทธิ์สดชื่นมาก กับการนอนของผู้เขียนเพียง 2-3 ชั่วโมงในคืนนั้น แต่พอตื่นขึ้นมาร่ายกายก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูกเอาเลยนี่หล่ะที่มีคนเคยบอกผู้เขียนว่า "การนอนที่หลับลึกเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถทำให้ร่างกายเรานั้นสดชื่นได้มากกว่าการนอนเป็นเวลาหลายๆชั่วโมง"



รุ่งอรุณของวันใหม่ก็เริ่มขึ้นเวลาตื่นนั้นก็ประมาณตีห้าเห็นจะได้ทองฟ้าเริ่มทอแสงรำไร แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงสาดส่องลงมาทีละน้อยๆ ทัศนียภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า เปรียบเหมือนสวรรค์ยังไงยังงั้นมันเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ (ไปมาทั่วไทยแล้วยังไม่เคยเห็นบรรยากาศแบบนี้เลย) เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นเย็นสบาย ทัองทุ่งนาเขียวขจี ขุนเขาแมกไม้สุดแสนที่จะโรแมนติคอย่างบอกไม่ถูกเลย บอกได้คำเดียวว่า 

"สวยงามมากจริงๆ"

ด้วยหมอกจางๆยามเช้าที่สดชื่นนี้ ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งที่ได้ไปเที่ยวบนดอยแห่ง มบ.หม่องกั๊ว  อ.อุ้มผาง จ.ตาก ที่ปราศจากสิ่งรบกวนใดๆขึ้นมาในทันที ณ บรรยากาศที่นั่นกับที่นี่เหมือนกันอย่างกับแกะ แสนที่จะเงียบสงบ เมื่อร่างกายได้สัมผัสกับอากาศในวูบแรกทำให้รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย เริ่มปฏิวัติเข้าสู่โหมดของพลังงาน (Energy) ขึ้นมาทันทีอีกครั้ง ร่างกายกลับกระปรี้กระเปร่าอย่างทันตาเห็น ในห้วงของความคิด ณ เวลานั้นผู้เขียนมีความรู้สึกอยากทำในสิ่งที่ดีงามต่อไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่อยากทำประโยชน์ให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก นั่นเป็นความรู้สึกภายในที่มันฟ้องขึ้นมากับตัวผู้เขียนอย่างนั้น " นึกและมองว่าในช่วงชีวิตที่หายใจอยู่นี้จะทำคุณงามความดีอย่างไรเพื่อตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิด และแผ่นดินเกิด เพื่อเป็นความภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าท่านเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่ดูเราก็ตาม "


ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน......ส่วนโปรแกรมของวันนี้ไม่ได้เป็นหน้าที่ของผู้เขียนเลยแม้แต่น้อย เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าของน้องเอ และผู้พันนก คิดเตรียมการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว.........................อยู่ๆน้องเอก็พูดขึ้นว่า

" วันนี้เรามีนัดกินข้าวที่ค่ายของผู้พันนกนะครับเสียงของน้องเอพูดกับผู้เขียน " ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้เขียนได้พูดคุยกับผู้พันแล้วว่าอาหารการกินนั้นเรากินอะไรก็ได้แต่ผู้เขียนขอเพียงอย่างเดียวว่า         " อย่าได้ฆ่าสัตว์ "  เพื่อเลี้ยงคณะเราซึ่งเป็นความประสงค์ของตัวผู้เขียนเอง

แต่ไม่ทันการเสียแล้วครับ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!   

ผู้พันนกได้สั่งให้ทหารในค่ายจัดการฆ่าแพะเพื่อเลี้ยงดูทีมงานเรา!!!!!!!!! เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากสำหรับสัตว์ตัวหนึ่งได้สละชีวิตตัวเองเพื่อให้เรานั้นได้อิ่มท้องกัน 😢😢😢 


ส่วนอาหารที่ทำมาเป็นต้มแพะ " ต้องขอบอกได้เลยว่าอร่อยมาก " ( ทั้งๆที่ผู้เขียนเพิ่งบอกไปเองว่าไม่น่าที่จะฆ่ามันเลย ) กลิ่นหอมตะหลบอบอวนโชยมาแต่ไกลหอมมากๆ รสชาดกลมกล่อม ประกอบกับผักสดๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกเนียง หรือสตอก็สดใหม่เก็บกินได้จากต้นอย่างไม่อั้นเลย ข้าวสวยก็ปลูกกันเองซึ่งผู้เขียนไม่ชอบข้าวที่นิ่มๆแต่จะชอบที่แข็งพอสมควร พอได้ขบเคี้ยวได้บ้าง (ฟันก็ไม่ค่อยจะดีซะด้วย ) สรุปได้ว่ามื้อนั้นทีมงานก็อิ่มหนำสำราญสบายท้องกันทั่วหน้ากันครับ.....พออิ่มทั่วหน้าก็ได้เวลาเดินทางกันต่อเลยเพื่อที่จะชื่นชมกับธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบข้างสองฟากฝั่งแม่น้ำเมย

การร่องเรือชมทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำเมย ภาพที่ได้เห็นยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มากความอุดมสมบูรณ์ยังคงอยู่ รังนกกระจาบมีให้เห็นบนต้นไม้เต็มสองฝั่งแม่น้ำ แมกไม้เขียวชะอุ่มอุดมสมบูรณ์ทั้งไม้เล็กไม้ใหญ่ ไม้เลื้อยพันรอบๆต้นไม้ดูแล้วช่างเป็นเหมือนเมืองสวรรค์จริงๆแผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงาทอดทาบเรียงรายบดบังแสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่ร้อนอบอ้าวให้ชาวไร่ชาวนาได้พักผ่อนเมื่อเสร็จจากภาระกิจการงานไร่นา ซึ่งเมื่อก่อนเมื่อสมัยผู้เขียนยังเด็กๆได้ออกไปทำไร่ทำนาพร้อมกับพ่อแม่ เมื่อถึงเวลาที่พักผ่อนผู้เขียนก็มักจะหลบงีบหลับใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างนี้อยู่เป็นประจำ  การเพาะปลูกมีให้เห็นเต็มริมฝั่งแม่น้ำอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำท่าเพรียบพร้อม พืชผักสดเขียวน่ารับประทานมาก ไม่ว่าจะเป็นผักกาด ผักคะน้า หรือผักกวางตุ้ง งดงามมากผู้เขียนได้สอบถามชาวไร่แถบนั้นว่าผักที่ปลูกนี้ได้ฉีดสารฆ่าแมลงหรือไม่???? คำตอบที่ได้ "ไม่ได้ฉีดสารกันแมลง" ทั้งสิ้น สิ่งที่ได้ฟังมีความรู้สึกถึงการกินดีอยู่ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง ถ้าเกษตรกรทำได้ในลักษณะแบบนี้ผู้คนบริโภคคงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกันถ้วนหน้านะครับ



เดินทางเที่ยวชมกันมาเรื่อยแว๊บหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นผ่านตาไปสะดุดสายตาทันที สิ่งที่เห็นเป็นเชิงตะกอนที่เผาศพคนตาย ทุกชนชั้นวรรณะไม่มีใครหนีรอดหลุดพ้นมันไปได้  ผู้เขียนได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นเศษกระดูกชิ้นเล็กๆน้อยๆอยู่อย่างกลาดเกลื่อน  ได้สติแล้วนั่งคิดตึกตรองว่าคนเราก็มีเพียงเท่านี้จริงๆสิ้นสุดไว้ที่ " ความตาย ซึ่งความตายเป็นผู้ถ่ายเทการกำเหนิด " เป็นสัจจะธรรมที่เที่ยงแท้ และแน่นอนที่สุด มองย้อนคิดอีกว่าการที่คนเรายังมีลมหายใจอยู่นั้นเราเคยคิดกันหรือไม่ว่า "เรา " จะสร้างหรือทำอะไรในสิ่งที่ดีงาม เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เอาเป็นแบบอย่างในการดำเนินรอยตาม  เราจะฝากอะไรไว้ให้คนเหล่านั้นได้พูดถึงคุณงามความดีที่เราได้สร้างขึ้น และทำบ้าง หรือเพียงแต่คิดว่า อยากจะได้ก็ต้องได้ , อยากจะเอาอะไรก็ต้องเอามาสนองกิเลสตัณหาตัวเองเพียงเท่านั้น จนลืมคิดไปว่าสิ่งที่ได้มานั้นมันสร้างความเดือดร้อนให้ใครต่อใครบ้าง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

" เมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้วก็มีเพียงเชิงตะกอนเล็กๆที่เห็นนี้ หรือโลงศพที่ปากหัวตัวเท่า เท่านั้นที่ปิดบังร่างกายไร้วิญญาณอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถเอาไปได้อยู่ดี ไฟจะเผามอดไหม้ร่างกายให้เหลือเพียงเศษเถ้าผงกระดูกที่ใช้การอะไรไม่ได้สุดท้ายก็เอากระดูกที่ไร้ประโยชน์ไปลอยน้ำเสียอีก คนเรามันก็มีเพียงเท่านั้นจริงๆ "   

😆😆👈👈💓💓💜❤❤

สุดท้ายที่ผู้เขียนอยากจะฝากเอาไว้......ในช่วงของชีวิตคนเรา........เปรียบเสมือน "ฟันปลา" มีจุดสูงสุด และมีจุดต่ำสุด จุดสูงสุดของชีวิตนั้น คนเราชอบ และรักมันอยู่แล้ว แต่ จุดที่ต่ำที่สุดกลับกลายเป็นว่า "เราจะปรับตัว และสามารถดำรงชีวิตอยู่กับจุดที่เผชิญอยู่นั้นได้หรือไม่ "  ทุกๆชีวิตล้วนผ่านเรื่องราวทั้งดี และร้ายมาด้วยกันทั้งสิ้น ขอให้อดทน และกล้าที่จะเผชิญกับมันให้ได้.......สุดท้ายชีวิตก็จะกลับไปสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง.....................ชีวิตคนเราก็สลับสับเปลี่ยนอยู่แบบนี้!!!!!!!!!!!!!!!!
ครั้งหน้าผู้เขียนจะพาผู้อ่านทุกๆท่านไปพบประสบการณ์เหนือยอดดอยเปเปอร์ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ผู้เขียนได้เดินทางท่องเที่ยว และเผชิญกับความทุรกันดารมากซึ่งน้อยคนนักจะได้ไปถึง ในเรื่อง           

"  ภูผาแห่งยอดดอย "



สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอขอบคุณ น้องเอ,ผู้พันเบิร์ด,ท่านนายพลฯ และเหล่าทหารทุกนายที่เอื้อเฟื้อดูแลความปลอดภัยตลอดการเดินทาง......ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


                                                           By " โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "

No comments:

Post a Comment