" เวลาที่ถูกกำหนด "
......เสื้อผ้าที่สวมใส่สวยๆแพงๆยี่ห้อดังๆ.....เวลาที่เราตายไม่มีใครเลยที่จะกล่าวชื่นชมว่าเสื้อผ้านั้นสวยดียี่ห้ออะไรนะที่ใส่ตอนตาย?????
...รองเท้าที่สวมใส่ยี่ห้อดังๆแพงๆเมื่อเราตายแล้วก็หาได้มีใครกล่าวชื่นชมเลยว่ารองเท้าที่สวม ณ ตอนตายนั้นสวยหรือเป็นยี่ห้อที่ดังๆแพงๆแต่อย่างใด!!!!
.....รถยนต์ที่เราขับขี่สวยๆราคาแพงๆ.....เมื่อตายไปก็ไม่มีใครกล่าวชื่นชมเลยว่ารถที่ขับขี่นั้นสวยดียี่ห้อดังแบบไหน!!!
...ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตผู้คนนับหน้าถือตา.....เวลาตายไปหน้าที่การงานตรงนั้นก็สิ้นสุดตามติดไปกับความตาย หาเอายศฐาบันดาศักดิ์เหล่านั้นไปด้วยได้ไม่!!!
.....ทรัพย์สินเงินทองตั้งหน้าตั้งตาหามาได้มากมายก่ายกองเป็นกอบเป็นกำ ครั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ผู้คนต่างพากันหุ้มลุมล้อมตอมเพื่อเกาะเกี่ยว แต่เมื่อตายไปทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นก็ตกเป็นของผู้อื่น "กลับเอาไปไม่ได้ " แม้แต่สตางค์แดงเดียว!!!
.....พ่อเรา , แม่เรา , แฟนเรา , เมียเรา, สามีเรา , ลูกเรา , ฯลฯ เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้แบ่งปันความเจ็บปวดแลความตายจากเราไปได้เลยแม้แต่น้อย!!!
......ครั้นเมื่อเห็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วขอให้ค่อยๆ "ปลดปลง " มันลงอย่างช้าๆ....อย่าได้ติดยึดเหนี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ให้มันมากจนเกินไป จะทำให้เกิดความเครียด , ความทุกข์เสียเปล่าๆ ปลดปล่อยมันลงอย่างเป็นคนที่ "เป็นบัณฑิตผู้ชาญฉลาด"
........ความรู้สึกเช่นนี้ผู้เขียนได้เขียนออกมาในวันที่มีโอกาสได้ไปร่วมส่งดวงวิญญาณของคนๆหนึ่ง และได้นั่งปลงอยู่ข้างๆเมรุ เป็นการส่งร่างอันไร้วิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้ผู้เขียนนั้นปลง และปลดปล่อยออกมา ณ ช่วงเวลานั้น
การเขียนในลักษณะแบบนี้ แน่นอนมันจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของใครหลายๆคน แต่ในความเป็นจริงล้วนแล้วเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคน ทุกๆชีวิตในโลกใบนี้โดยไม่มีวันที่จะ "หนีความตายไปได้พ้น " อยู่ที่ว่าวันไหน เวลาไหนจะถึงคิวของเราเท่านั้น???
ผู้เขียน เขียนบทความนี้เพื่อเตือนสติของผู้เขียนเอง และรวมถึงท่านผู้อ่านทุกๆท่านได้พินิจวิเคราะห์อย่างบัณฑิตที่ชาญฉลาดเขาคิดกัน
ครั้นเมื่อมองต่อไปอีกภายหน้าผู้เขียนมองในลักษณะที่จะเขียนในเรื่องของความแตกต่างในช่วงอายุเมื่อนำมาเปรียบเทียบตามมุมมองของผู้เขียนเองจะเห็นเป็นแบบนี้....
ช่วงเกิด คนเกิด "ร้องไห้ " ในขณะคนรอคอยการเกิดของเรารอบๆข้างต่างพากัน "ดีอกดีใจ " กับการได้เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขเกิดขึ้น ต่างพากันอวยพรให้เป็นคน "ดี "
ช่วงวัยของการศึกษา เรามีแต่ความสุข มีแต่ความเพลิดเพลิน หาได้คิดมากไร้ความวิตกกังวนอะไรทั้งสิ้น สนุกสนานเพลิดเพลินสมกับวัย ถึงเวลาก็ขอเงินกับพ่อแม่
ช่วงการทำงาน ต่างเร่งรีบ แก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบกันสารพัดเพื่อที่จะหางานหาการทำเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเอง เป็นช่วงที่ " ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว " ไม่เห็นแก่ใครทั้งสิ้นทำเพื่อ "ตัวเอง" ทั้งสิ้น
ช่วงอายุ 60 ปี บุคคลที่มีหน้าที่การงาน หรือเป็นบุคคลที่นับหน้าถือตา ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับบุคคลที่ไม่มีตำแหน่งอะไรในสังคมนี้ เพราะเมื่อถึงคราวเกษียรแล้ว บทบาทหน้าที่ก็ " พรันจบสิ้นลง " เหมือนๆคนที่ไม่มียศไม่มีตำแหน่งหน้าที่
ช่วงอายุ 70 ปี "บุคคลที่มีเงินทองมากมายก่ายกองเป็นผู้มีอันจะกิน " ก็ไม่สามารถสรรหาเครื่องประทินร่างกายได้ดีกว่าบุคคลที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง เพราะเนื่องจากว่า "ไม่รู้จะสรรหา" มาเพื่ออะไร ร่ายกายไม่มีความต้องการแบบนั้นอย่างนั้นเสียแล้วแห้งเหี่ยวเหมือนๆกัน ซึ่งก็ไม่แตกต่างกันเลย
ช่วงอายุ 80 ปี อยากจะท่องเที่ยวเพื่อเปิดโลกทรรศ์เปิดหูเปิดตา ซึ่งก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น จะเดินเหินไปก็แสนยากลำบากทั้งยังนำพาความทุกข์ยากไปยังลูกหลาน ถึงแม้ได้ไปก็ตามก็ไม่สามารถหาความสนุกสนานได้เหมือนตอนวัยรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งก็ไม่ต่างกันเลย
ช่วงวัยอายุขัยมุ่งหน้าเดินเข้า "โลง" ผู้คนต่างพากัน " ร้องไห้ " ด้วยความอาลัย แต่คนที่ตายกลับ "ยิ้ม" ที่ละไปจากโลกใบนี้แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกัน ที่ๆเขาได้จัดเอาไว้ให้ก็เป็นเพียงโลงสี่เหลี่ยมผืนผ้า "ปากหัวตัวเท่า" เพียงเท่านั้นไม่สามารถเอาทรัพย์สิน , ที่ดินที่มีเยอะมากมายติดตัวไปได้เลย ซึ่งก็ไม่ต่างกัน
ถึงเวลาที่จะต้องเผา "ทำลายทิ้ง " ก็เหลือเพียง " เถ้าทุลี " หาประโยชน์ไม่ได้เหมือนกัน แม้กระดูกที่เหลือก็ยังหาประโยชน์อะไรไม่ได้ เก็บไว้ให้ลูกหลานกราบไหว้ เผลอๆหลานๆเหลนๆจะถามเอาว่า " นี่คือกระดูกของใคร กัน " มิหนำซ้ำกระดูกก็ยังเอาไปทิ้งลอยในแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำตื้นเขินอีกต่างหาก!!!
มันเป็น "อนิจจัง" แท้ๆเลย "ทุกๆสิ่ง มีเกิดขึ้น มีคงอยู่ และดับสูญไป " ฉันใดก็ฉันนั้น......
เพราะนี่คือ "สัจจะธรรมที่เที่ยงแท้และแน่นอนที่สุด"
ท้ายนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนากล่าวล่วงเกินท่านใดทั้งสิ้น เขียนเพื่อเตือนสติ เตือนความไม่ประมาท แต่ถ้าหากบทความบทนี้ได้ไปสร้างความขุ่นข้องหมองใจใครแล้ว ผู้เขียนก็ขอกราบขอโทษ ขอขมามา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
สวัสดี
By "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"
เขียนโดย ... ทรงฤทธิ์ อนุไพร










