Tuesday, September 27, 2016

" ยิ่งสูงยิ่งหนาว "

                                                                                                                             
                                                                                                                                                                                                                                                                                27/9/2559
                   

ยิ่งสูงยิ่งหนาว

ท่านคิดว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว " มันเป็นความจริงอย่างที่เขาพูดกันหรือไม่? แต่สำหรับตัวผมแล้ว คำพูดประโยค นี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรเลยในการดำเนินชีวิตและการทำงาน หรือการดำเนินชีวิตส่วนตัวของผมเลยแม้แต่น้อยนิด แต่มันกลับยิ่งทำให้ผมนั้นได้สู้และท้ายทายความรู้ความสามารถของผม คำว่า  “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ผมกลับมองว่ามันเป็น “โอกาส ” มันยิ่งทำให้ตัวผมนั้นยิ่งเพิ่มความพยายามมากขึ้น

จากประสบการณ์ในอาชีพงานขายและบริการกว่า 22 ปี และในประสบการณ์การเป็น "โค๊ช" เกือบ 5 ปี ซึ่งถ้านับรวมของการทำหน้าที่เกี่ยวกับงานขายก็ประมาณเกือบ 27 ปี ที่ผมพยายามถ่ายทอดเรื่องราวทั้งในด้านของการทำงานและการมองอย่างเป็นระบบ ผ่านประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตของการทำงาน

ตลอดระยะเวลาในงานขายและบริหารงานขายมา ผมผ่านจุดที่ตกต่ำที่สุด (แต่ไม่ตกอับ) ผ่านจุดที่สูงที่สุด (ของตัวเอง) มาแล้วก็มากมาย ผ่านมาหลายเรื่องราวมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป

แต่ขอทุกท่านจงพึงระลึกไว้ว่า

“หน้าที่หรือภาระที่มันอยู่ตรงหน้าท่านนั้น มีไว้เพื่อที่จะรอท่านเข้ามาแก้ไข” 

ขอแค่เพียงอย่าได้หนีปัญหาที่อยู่กับท่านไปเสีย เพราะไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนยังไงปัญหานั้นก็จะติดตามตัวของท่านไปอย่างหนีไม่พ้น

“จงตั้งรับปัญหาของท่านอย่างมีสติ”

หาวิธีแก้ไขปัญหาและทำให้ได้ มันจะสร้างความเป็น "มืออาชีพ" และสร้างความเชื่อมั่นให้กับท่าน แต่ถ้าหากว่าท่านพยายามคิดที่จะหนีปัญหานั้นไปให้ไกลๆ แล้ว ผมมองว่า "ท่านมีอาชีพที่ดำรงอยู่เพียงเพื่อใช้ชีวิตไปวันๆ มีชีวิตเพียงเพื่อใช้จมูกสูดอากาศหายใจไปวันๆ เท่านั้น"  เพราะท่านเองยังไม่คิดที่จะแก้ไขปัญหาที่ตัวท่านเองได้เจอ แล้วจะทำอะไรที่มันท้าทายได้อย่างไร การอยู่กับปัญหานั้นเพื่อที่จะเรียนรู้ปัญหานั้น ว่ามันเกิดขึ้นและจะแก้ไขให้มันดีขึ้นได้อย่างไร?
เราจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุดอย่างไร?

ถ้าเราทำได้มันก็เป็นบทพิสูจน์หนึ่ง และเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากสำหรับเราเอง สำหรับทุกๆ คนที่เคยผ่านจุดของปัญหานี้มาและลงมือทำแก้ไขปัญหาอย่างดีแล้ว (ในความคิด) แต่กลับยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นให้ดีได้ ท่านต้องตระหนักไว้ว่าปัญหาทุกปัญหาไม่สามารถแก้ไขมันได้ภายในวันเดียวอย่างแน่นอน หากคิดได้อย่างนี้แล้วความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาต่างๆ จะมีผลสำเร็จกับทุกๆ ท่านครับ
   
"ยิ่งสูงควรยิ่งต้องตั้งใจ"

สุดท้ายนี้ คำว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" มันไม่ได้เป็นสัจจะธรรมที่แน่นอนสำหรับการทำงานของคนเราหรอกนะครับ..เป็นเพียงเพื่อขอให้เราต่อสู้กับปัญหาเท่านั้น..และมันคือบทพิสูจน์หนึ่งที่จะทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาไปได้อย่าง "ภาคภูมิ" ไปยืนอยู่บนที่ๆ สูงที่สุดได้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่ตัวเราจะทำได้เท่านั้นเอง..จงทำตัวเป็นมืออาชีพ แต่อย่าทำตัวเพียงแค่มีอาชีพ แค่อยู่ไปวันๆเท่านั้นนะครับ


ผมขอมอบสิ่งที่ดีๆ ให้ทุกๆ ท่าน ด้วยบทความที่เขียนบอกเล่าประสบการณ์ ให้ทุกท่านได้รู้ถึงวิธีคิดและวิธีการทำงานที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และผมขอบมอบสิ่งที่ดีๆ ที่ทุกๆ ท่านให้กลับมานี้ ขอ มอบให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ขอให้จิตใจอันดีอันบริสุทธิ์ของผมโปรดดลบันดาลความสุขทุกๆ อย่างให้กับคนที่ผมรัก...........
               

                                                                                       ด้วยความปราถนาดีจาก
                 
                                                                                       "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "
                        
                                                                                                 สวัสดี



Monday, September 26, 2016

ความประทับใจกับหน้าที่ของ "เซลส์แมน"

                                                                                                                       26 ก.ย. 2559

ในช่วงเวลาของการเป็น "เซลส์ " ผมมีเรื่องราวที่ดีๆที่น่าประทับใจ ในอาชีพที่ผมรักมากนี้ จะมาเล่าเรียงให้ทุกๆท่านได้ฟังถึงประสบการณ์อันดีที่ผมได้เจอ ได้ผ่านช่วงเวลานั้นมา ให้ฟังครับ

ในระยะเวลา 4-5 ปี ของการเริ่มต้น อาชีพ "เซลส์แมน " แรกๆ  เป็นมาอย่างไร  มาดูกันครับ

เมื่อครั้งที่เริ่มสมัครเข้าทำงานที่โชว์รูมรถยนต์ที่นึง (ขออนุญาตที่จะไม่เอ่ยถึงโชว์รูมไหนยี่ห้ออะไร) ทางบริษัทได้ตอบรับเข้าทำงานในตำแหน่ง " เซลส์แมน " ขายรถยนต์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาครับที่เซลส์ใหม่ๆ
ที่เพิ่งเข้าไปทำงานนั้น จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกริยามารยาท ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เทคนิดการขาย การเจรจาต่อรองกับลูกค้า รุ่นรถที่จะต้องขาย ราคารถแต่ละรุ่น การคิดอัตราดอกเบี้ยไฟแนนซ์ ฯลฯ เมื่อเสร็จสิ้นในภาคทฤษฎีก็ถึงเวลาลงสนามขายจริงๆซึ่งจะแตกต่างจากที่นั่งเรียนมา

วันแรกของการทำงาน หัวหน้างานหรือที่เรียกกันว่า "ผู้จัดการขาย" จะเรียกประชุมทีมงานขายเป็นประจำทุกๆเช้า โดยการประชุมจะมีการสอบถามเซลส์ทุกๆคนถึงเรื่องยอดขาย,ยอดจองและลูกค้าทั้งหมดในมือของเซลส์แต่ละคนไล่มาจนสิ้นสุดที่ตัวผม และก็ไปตามที่ผมคาด ผู้จัดการขายไม่ถามอะไรผมซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ ผมไม่แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะว่าผมเองนั้นเป็นเซลส์ใหม่ ยังขาดประสบการณ์ในเรื่องการขายอยู่มาก แต่ในความรู้สึกผมนั้นมันกลับค้านขึ้นมาในใจว่า ผมเองก็มีความสามารถที่จะทำมันได้เหมือนกับเซลส์รุ่นพี่ๆ

ในเดือนแรกของการทำงานเป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ไหนจะต้องปรับตัวกับงานใหม่ ต้องหาลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่ตัวผมเองนั้นจะทำได้ ลองผิดลองถูก ซึ่งใช้สนามทดลองจริงๆเรียนรู้เทคนิคต่างๆมันทำให้ผมได้รู้ว่า นี่ไม่ใช่งานที่ง่ายๆเลย แต่มันก็เป็นบทพิสูจน์ที่ดีที่ผมเองก็ทำมันอย่างสุดความสามารถด้วยใจที่รักที่ทำอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจ พยายามที่จะทำให้เกิดยอดจองรถให้มากๆและมันจริงดั่งคำที่เขาว่ากัน "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่นเสมอ" และผมเองก็ทำมันได้ ในเดือนแรกนี้ผมสามารถรับจองรถกับลูกค้าได้มากถึง 18 คันแต่ยอดปล่อยรถนั้นยังไม่มี เพราะลูกค้าเองจะต้องผ่านกระบวนการต่างๆอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์จากไฟแนนซ์ให้เรียบร้อยก่อนจึงจะมาเป็นยอดที่ผมจะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้จริงๆ

ในเดือนที่สองเป็นเดือนที่ส่งผลมาจากการทำงานอย่างหนักในเดือนแรกผมสามารถที่จะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ทั้งหมด 18 คัน ตามยอดที่จองมาในเดือนแรก และผมก็ยังมุ่งหมั่นที่จะหาลูกค้าใหม่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งในเดือนนี้มียอดสั่งจองรถกับผมมาอีก 28 คัน เป็นสิ่งที่ผมประทับใจและทำงานเพื่อต่อยอดไปยังเดือนถัดๆไป

ในเดือนที่สามนี้เองซึ่งเป็นจุดพลิกผันที่สุดในชีวิตของการเป็น "เซลส์แมน" ในเดือนนี้ยอดจองที่คงค้างมา และยอดจองเพิ่มขึ้นอีก 33 คัน และผมปล่อยรถที่ค้างจองมาจากเดือนที่สอง และเดือนที่สามนี้ได้ทั้งหมด 37 คัน จุดพลิกผันนี้ส่งผลให้ผมไปยืนบนทำเนียบของคนที่มี "ยอดขายสูงที่สุด" ในโชว์รูมนี้ทันที มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก แต่ส่วนตัวของผมเองคิดภายใต้พื้นฐานที่ว่า "ผมยืนอยู่บนพื้นฐานของความไม่เอาเปรียบใคร หรือต้องการเอาลูกค้าคนอื่นเป็นของตัว"

ตลอดระยะเวลาที่ทำงานทั้งปีในปีนั้น ผมขึ้นทำเนียบของการเป็น "เซลส์แมน" ที่มียอดขาย "สูงที่สุด" ในประเทศ โดยทำยอดขายได้ทั้งหมด จำนวน 218 คัน ซึ่งมันเกินความคาดฝันของผมและเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่เอื้ออำนวยผมก็เป็นได้ เช่นสภาพเศรษฐกิจดี,การเงินของลูกค้าดี มันเป็นไปได้ทั้งหมดครับ

สิ่งที่เล่าถึงประสบการณ์ที่ประทับใจของผมนั้น ฟังดูแล้วเหมือนมันจะได้ทำง่ายดาย แต่ลองมาฟังเรื่องราวที่กว่าจะมายืนบนบนจุดของความสำเร็จนี้ได้ว่าผมได้ผ่านอุปสรรคอะไรมากันบ้าง มาดูกันครับ

การทำงานเป็น "เซลส์แมน"  ในช่วงเริ่มต้นของผมช่วงนั้น ค่อนข้างที่จะลำบากมาก อดบ้างอิ่มบ้างในบางมื้อเรียกได้ว่ากินน้ำแทนข้าวได้เลย ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายใช้สอยมากนักหรือบางวันแทบไม่มีเลย แต่ผมไม่ยอมที่จะเอ่ยปากขอใคร ผมถือ คติ ที่ว่า "ผมยอมที่จะอดอย่างเสือ ดีกว่าอิ่มอย่างหมา"  สำหรับการเดินทางมาทำงาน ผมต้องนั่งรถเมล์ถึง 4 ต่อกว่าจะถึงโชว์รูม ชุดที่จะใส่ทำงานมีเพียง เสื้อเชิ๊ตขาว 2 ตัว เนคไท 1 เส้น กางเกงขายาวสีดำเพียง 1 ตัวเท่านั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมปลอบใจตัวเอง       เสมอๆ "ผมจะทำให้ทุกๆวันเป็นวันที่มีโอกาสที่ดีๆ เสมอสำหรับผม" เพราะผมรัก และศรัทธาในอาชีพนี้

"วันไหนที่มันมีปัญหา มันก็มีทางออกได้เสมอ"
"มีวันเริ่มต้นที่ดี มันก็ย่อมมีวันที่สิ้นสุดที่ดีเหมือนกัน"
เป็นสิ่งที่ผมใช้พูดเพื่อให้กำลังใจตัวเองเสมอในการทำงานและการดำเนินชีวิต

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมตั้งกฏเกณฑ์ กติกา การทำงานเฉพาะตัวเอง ที่ผมต้องทำตามกฏเกณฑ์ที่ผมตั้งไวัอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ข้อ แต่กฏเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้นี้ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบของการทำงานในสมัยปัจจุบันใหักับทุกๆคนได้ประสบผลสำเร็จอย่างที่ผมเคยทำได้เสมอไป เพราะปัจจุบันนี้มีปัจจัยหลายๆอย่างเข้ามาเพิ่มขึ้น มันเป็นกฏเกณฑ์ที่ผมตั้งเพื่อบริหารจัดการตัวผมเองและไม่ใช่กฏเกณฑ์ที่ตายตัวของความสำเร็จของใคร

มาดูกฏของผมกันครับ

1. อย่าใช้เวลาในการพักมากเกินไปมันจะเกิดความเกียจคร้าน ต่อสิ่งที่จะทำต่อไปข้างหน้า
2. อย่าเห็นแต่ความสะดวกสบายในการทำงานมากจนเกินไป
3. ใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการทำงานให้มากๆ และบริหารเวลาในแต่ละครั้งให้ดีๆ
4. วินัย ในความรักในตัวเอง และรักต่ออาชีพที่ทำอย่างเต็มที่ (อันนี้สำคัญมากๆ)
5. อย่าได้ดูถูกตัวเองโดยเด็ดขาด เพราะคุณดูถูกตัวเองแล้วจะเป็นคน ที่ไม่น่าคบหาสมาคมด้วยเลย
6. หมั่นหาโอกาสให้ตัวเองเสมอ..อย่ารีรอให้โอกาสเข้ามาหาคุณโดยเด็ดขาดนะครับ.." ทำทุกๆวันให้เป็นโอกาส " ที่ดีที่สุดของคุณเสมอนะครับ
7. ช่วยเหลือเอื่อเฟื้อเผื่อแผ่กับเพื่อนร่วมงาน อย่างเป็นมิตรที่ดีต่อกัน

วันหนึ่งวัน ของชีวิตการทำงานของเรา "เรามีเวลาในการทำงานเท่าเทียมกันเสมอ" แต่เวลาการทำงานของแต่ละคนนั้น "กลับมีเวลาการทำงานที่ไม่เหมือนกัน" มันน่าแปลกใจมาก

คุณอาจตั้งคำถามกับผมว่า

"ผมทำอย่างนี้ได้ยังไร?"

"วินัย"

คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายมากครับ มันเป็นสิ่งแรกที่ผมตั้งขึ้นมาในช่วงชีวิตตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานของผม แต่ไม่สามารถที่จะใช้กำหนดกฏเกณฑ์การทำงานของทุกๆท่านได้นะครับ

"ผมรักอาชีพในการขายและบริการ"
เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมเสมอมาและผมก็ทำมันของการเป็น "นักขายมืออาชีพ แต่ไม่ใช่มีอาชีพเพียงแค่นักขาย" ความตั้งใจของผมยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยังต่อยอดวิธีคิดและวิธีการทำงานที่ผ่านๆมาไปยังลูกน้องและลูกศิษย์ทั้งหลาย ถึงประสบการณ์ดีๆที่จะถูกถ่ายทอดให้กับพวกเขาเหล่านั้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ผมขออนุญาตที่จะนำเอาประโยคนึงที่ผมเห็นจาก Facebook ดูแล้วโดนใจผมมากๆขอเอามาเผยแพร่ให้ทุกๆท่านได้อ่านอีกครั้ง

"คำพูดที่จะฆ่าคนใช้คำพูดเพียงคำเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าจะสร้างคน ๆ หนึ่งเราต้องใช้คำพูดเป็นพันๆ หมื่นๆคำ" 

ขอโปรดอย่าได้มอง "ความสำเร็จ" ของคนอื่นเพียงแค่ "ปลายเหตุของความสำเร็จของเขา หรือบทสรุปของเขาอย่างเด็ดขาด แต่คุณจงมองที่ต้นเหตุที่เขานั้นทำมา " ว่าเขาเหล่านั้นได้ผ่านอะไรมาบ้าง ได้เจอบททดสอบอะไรมาบ้าง ผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมาบ้าง ลองผิดลองถูกอะไรมาบ้าง ? แล้วขอให้เอาแนวทางการทำงานของเขา แนวคิดของเขา วิธีในการทำงานของเขา มองลองพิจารนา แต่เพียงเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของตัวเราเอง เพราะแต่ละคนมีวิธีคิดวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน

"การดูแลลูกค้าก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ของความสำเร็จเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าไม่มีลูกค้าผู้มีพระคุณของผมก็จะไม่มีตัวผมในวันนี้ "

ในตอนหน้า ผมจะมาเล่าเรื่องที่ประทับใจกับลูกค้าท่านหนึ่งให้ทุกๆ ท่านได้รับฟังกันครับ 





ผมขอมอบสิ่งที่ดีๆ ให้ท่านทุกๆ ท่าน ด้วยบทความที่เขียนบอกเล่าประสบการณ์ ให้ทุกท่านได้รู้ถึงวิธีคิดและวิธีการทำงานที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และผมขอบมอบสิ่งที่ดีๆ ที่ทุกๆ ท่านให้กลับมา ขอมอบให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ขอให้จิตใจอันดีอันบริสุทธิ์ของผมนี้ โปรดดลบันดาลความสุขทุกๆ อย่างให้กับเขา.....Ta......

พบกันใหม่ในตอนหน้า "ลูกค้าที่ผมประทับใจ "





           

                                                                             
                                                                                   ด้วยความปราถนาดีจาก
                   
                                                     
                                                                                   "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"
                         
                                                                                             สวัสดี







Friday, September 23, 2016

" ลูก และภรรยา เหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์"

ในบทความที่แล้วผมได้กล่าวถึงเรื่อง "ลูกน้อง เหมือนแขนขา"
ในส่วนของบทนี้จะเขียนถึงความสำคัญของ "ลูก และภรรยา" กันนะครับเผื่อว่าทุกคนจะได้แนวคิดเรื่องการครองเรือนเพิ่มมากขึ้น

ความเป็นมาเป็นไปของคนเราที่กำเนิดเกิดมาต้องมีเนื้อคู่แล้วต่อเติมสายสัมพันธ์กันมานั่นก็คือ "ลูก" และนั่นก็คือความหมายของคำว่า "ครอบครัว"

ครอบครัวเป็นสังคมที่เล็กๆแต่เป็นสังคมที่ยิ่งใหญ่และสำคัญอย่างมาก ของการกำเนิดเกิดก่อความสำคัญของคนขึ้นมา

"ลูก และภรรยา เหมือนเสื้ออาภรณ์" ที่สวยงามเป็นหนึ่งท่วงทำนองที่สวยงามขององค์ประกอบที่แสนจะสมบูรณ์ที่สุดของการมีชีวิตคู่และการดำเนินชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

การมีศรีภรรยาเป็นคู่คิด,คู่ที่จะช่วยเราแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านคิดเหมือนผมหรือไม่ครับ?

แม้ในยามที่เราหมดปัญญาคิด  ภรรยา(เมีย)นี่แหละครับจะเป็นคนที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆให้สามารถผ่านพ้นไปได้

ส่วนลูกก็เป็นโซ่ทองคล้องใจที่คอยเป็นแก้วตาดวงใจสร้างกำลังใจให้กับเรา ยิ่งคนที่ทำงานหนักๆกลับมาบ้านเมื่อไหร่นะครับความเหน็ดเหนื่อยนั้นมันหายไปจากเราเหมือนปลิดทิ้งไปเลยคุณคงมีความรู้สึกแบบนี้กันนะครับและลูกๆยังสามารถที่จะสร้างกำลังใจในการทำงานหรือต่อสู้ต่อปัญหาที่ท่านนั้นได้เจอมาได้อย่างยอดเยี่ยม

โดยทั้งสามคนกลายเป็นความหมายของคำว่า "ครอบครัว" ที่แสนจะอบอุ่นมากที่สุดในชีวิต

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ตัวผมเองมีแต่ภรรยานะครับแต่ผมยังไม่มีลูกเลยสักคนเดียว (อยากมี) ลองมาฟังเหตุผลผมของคนอย่างผมบ้างกันนะครับว่ามันจะเป็นยังไง???

การที่เราได้อยู่ร่วมกันมานับเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วผมยังไม่มีลูกเอาไว้เป็นพยานรักเลยแต่ผมเองก็มีความสุขใจเสมอทีเราได้อยู่กับภรรยาของผม ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างนั่นก็เป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆตามประสาของ "ลิ้นกับฟัน" ย่อมมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่สิ่งหนึ่งที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นใจคือ "ความเข้าอกเข้าใจกัน" ซึ่งไม่ว่าจะมีลูกหรือไม่มีก็ตามผมมีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะให้ทุกๆครอบครัวมีกัน คือ ความเข้าใจกันมันเป็นมากกว่ายาที่ใช้รักษาโรคที่ร้ายแรงได้

ผมคติประจำใจของผมเอง มีอยู่เพียง 3 คำเท่านั้นนะครับ คือ "เอา เข้า ไว้"

อย่าเพิ่งหาว่าผมนั้นพูดจาหยาบคายนะครับลองมาฟังความหมายของแต่ละคำกันดูครับ...

คำที่ 1. คือ "เอา" ในที่นี้หมายถึง "การเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน" จะสุข หรือจะทุกข์หนักขนาดไหนก็ตาม จะต้องดูแลเอาใจใส่กันเสมอๆ
คำที่ 2.คือ "เข้า" ในที่นี้หมายถึง "การเข้าใจซึ่งกัน และกัน" ไม่ว่าเหตุการณ์ไหนๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคู่ ทุกๆคู่จะต้องเข้าใจกันและกัน
คำที่ 3.คือ "ไว้" ในที่นี้หมายถึง "การไว้เนื้อเชื่อใจกัน และกันเสมอ"
ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยา การไว้เนื้อเชื่อใจกันนี้สำคัญไม่แพ้ทั้ง 2 คำข้างต้นที่กล่าวมา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทั้งคู่จะต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

  นี่คือความหมายของคำ ทั้ง 3 คำ ฟังดูแล้วความหมายนั้นดีใช้มั๊ยครับผมคงไม่ได้พูดจาหยาบคายอะไรนะครับ

แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น(ส่วนมากจะเป็นชายมากกว่า)มักมีการนอกใจภรรยาสุดที่รักกันอยู่บ้างเป็นบางครั้งบางคราว อาจเผลอจิตใจไปแบ่งปันให้กับหญิงอื่นกันบ้างตามนิสัย "ผู้ชายไม่เจ้าชู้ เปรียบเสมือนงูไม่มีพิษ ผมเองก็เป็นครับไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่ก็นั่นหล่ะครับมันเป็นเพียงอารมย์ชั่ววูบเท่านั้นเอง

แต่บางครั้งบางทีท่านหรือผมเองอาจจะรักเลยก็มีนะครับ อย่าได้ทำเป็นเล่นไป ผมเองเคยผิดพลาดเรื่องอย่างนี้มาเยอะพอสมควรเจอทั้งผู้หญิงที่ดีๆ(นี่ควรจะเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี คิดแต่สิ่งดีๆกับเขานะครับ) มามาก

แต่ก็หล่ะครับมันเป็นช่วงของเวลาเท่านั้นเองแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดมาเพื่อหลอมรวมตกแต่งอย่างดียิ่ง ออกมาเป็น "ครอบครัว" ที่แสนจะอบอุ่น

ผมรู้สึกชื่นชมกับทุกๆท่านนะครับที่พวกท่านนั่นมีครอบครัวที่อบอุ่นกันทุกๆคน

ทุกๆครั้งที่ผมนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในห้วงชีวิตและห้วงสำนึกในใจก็จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับทุกๆท่านได้มีจิตสำนึกรักกันอย่างนี้เสมอๆนะครับ

ทุกอย่างที่ผมได้เขียนบอกเล่าทั้งประสบการณ์ดีๆและไม่ดีเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ท่านได้ฟังนี้ สิ่งไหนที่ดีๆผมขอมอบสิ่งดีให้ท่านก็แล้วกันนะครับ ส่วนสิ่งที่ไม่ดีไม่มีประโยชน์ที่จะนำไปใช้ได้ขอส่งคืนมาที่ผมนะครับ

สิ่งที่ดีงามทั้งหมดนี้ที่ทุกท่านได้รับไป ผมขอสิ่งที่ท่านได้รับนี้ส่งผลให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด....Ta.....รักและห่วงใยมาก

           

              ด้วยความปราถนาดีจาก

                 "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                          สวัสดี

Wednesday, September 21, 2016

"อา กง สอนหลานทั้งสี่"

ผมมีนิทานสอนหลานเรื่องหนึ่งที่ตัวกระผมนั้นชื่นชอบมากๆ ลองมาฟังกันนะครับว่า "นิทานเรื่องนี้สอนอะไรเรา"

    "กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีอากงแก่ๆอยู่คนหนึ่ง  อยากคิดที่จะสอนข้อคิดกับหลานๆ...ตามประสาคนแก่

อากงจึงได้เรียกหลานๆทั้ง สี่ มานั่งล้อมวงที่โต๊ะสี่มุม แล้วบอกกับหลานทั้งสี่คนว่า เอาหล่ะหลานๆเอ้ย  ตอนนี้หบับตา นะ หลับตา  พอหลานๆหบับตา อากงก็เดินเข้าไปยังห้องเก็บของในทันที  แล้วหยิบโคมไฟเก่าๆมาหนึ่งอัน  อากงเปิดฝาที่ครอบแบ้วจุดไฟ เสร็ดแล้วก็ปิดฝาฝาครอบทันที  แล้วอากง ก็บอกหลานๆทั้งสี่คนว่า  ลืมตาขึ้นซิ แล้วบอกอากงซิว่าโคมไฟนั้นสีอะไร????

เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้นตอยแบบไล่ๆกัน

ตอบไม่เหมือนกัน แบะเริ่มทะเบาะกัน คนที่นั่งด้านนึ่งบอกว่า "สีแดง"
อีกด้านนึ่ง บอกว่า "สีเขียว"
สีเหลือง และสีน้ำเงิน ตามลำดับ

ทั้งสี่ทะเลาะกันพักหนึ่ง ก็มีเด็กคนหนึ่งเอ่ยถามอากงว่า  อากงๆทำไมของอย่างเดียวกันมันมีตั้งหลายสี

อากง ก็เลยบอกว่า เดี๋ยวนะอากงจะทำอะไรให้ดู  อากงเดินมาที่โต๊ะ หยิบฝาครอบแบ้วหมุนให้ดู  ปรากฏว่า ฝาครอบสี่ด้าน สี่สี แดง เหลือง เขียว น้ำเงิน หลังจากนั้นอากง ก็บอกว่า.....

เอ้า ตอนนี้บอกอากงมาซิ โคมไฟสีอะไร???

หลานๆตอบเหมือนๆกัน คือสีของเปลวไฟ

อากง เลยบอกว่า เอาหล่ะหลาน อากง จะขอถามอะไรหน่อยสักสองข้อนะ....

ข้อที่ 1. เมื่อสักครู่นี้ ใครผิด???

หลานๆก็ตอบอากงว่า ไม่รู้ อากงก็เลยบอกว่ารึว่าอากงผิด....
อากง เลยบอกอีกว่า "ฟังนะเจ้าทั้งสี่ นั่งอยู่ในที่เดียวกัน มองของอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเลยทำไม?

ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ  อากง เลยบอกว่า  ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมอง ของตัวเองทั้งสิ้น
เห็นในสิ่งที่ตัวเองเห็น แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็นอย่างที่เขา เห็น เจ้าก็เดินไปมองมุมของเขา.....แล้วเราก็ จะเห็นอย่างที่เขาเห็น แต่ถ้าลองนึกภาพนะ เจ้าทั้งสี่ นั่งอยู่ที่เดียวกัน มองของอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกันยังไม่เห็นเหมือนกันเล๊ย.....

ในอนาคต เวลาที่อยู่ในสังคม เป็นไปได้ไหม คนนั้นก็มองสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นแล้วเวลาที่คนคิดไม่เหมือนเรา ใครผิด !!@!
ในอนาคตนะ เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่นๆเขา ก็อย่าได้ไปโกรธว่าเขาผิด อย่าไปกลัวว่า ตัวเองผิด เพราะคนแต่ละคน ก็เห็นสิ่งต่างๆจอกขอบข่าย ประสบการณ์ และสิ่วแวดล้อมของตนเอง

แต่ถ้าเจ้า อยากจะเข้าใจว่า ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น อาจเป็นไปได้ว่า ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมา และเข้าใจเจ้า

คำถามที่ 2. อากง บอกว่า ที่เห็นครั้งแรกกับ ครั้งหลัง เป็นของอย่างเดียวกันมั๊ย?

หลานบอกว่า อย่างเดียวกัน แล้วเห็นเหมือนกันมั๊ย?
ครั้งแรกเห็นอะไร?

หลานตอบว่า ฝาครอบ แบะครั้งหลังเห็นเปลวไฟ

อากงเลยบอกหลานๆเอ๊ย  ในอนาคตถ้าเลือกได้นะ

"อย่ามองสิ่งต่างๆ เพียงแค่ที่เห็น จงเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างที่เป็น"

ทุกอย่างที่ท่านได้รับประโยชน์จากนิทานสอนท่านนี้  ประโยชน์และความดีทั้งหลายที่ท่านได้รับ กระผมขอมอบให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด.....Ta....

            ด้วยความปราถนาดีจาก

               "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                        สวัสดี

Monday, September 19, 2016

ลูกน้องเหมือนแขน และขา





" ลูกน้องเหมือนแขนและขา "




มีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า "ลูกน้องหรือผู้ร่วมงานอันดีนั้นเปรียบเสมือนแขนและขา"
คำเปรียบเปรยที่กล่าวมาข้างต้นเป็นความจริงที่สำหรับการทำงานเป็นทีมล้วนๆซึ่งล้วนต้องการผู้ช่วยทั้งสิ้น ซึ่งเราเรียกสั้นๆว่า "ลูกน้อง" นั่นเอง

พวกเขาเหล่านี้สามารถที่จะช่วยงานต่างๆ ให้สำเร็จตามแผนงานที่เราคิดได้ แต่ตัวเราเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะ "ฝึกฝน" เขา และเรียนรู้ที่จะใช้ลูกน้องให้ถูกกับลักษณะของงานแต่ละงาน ส่วนเราเองก็จะต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเสมอ แขนและขาถึงจะแข็งแรงสามารถปฏิบัติงานตามแผนงานที่เราได้วางไว้เป็นผลสำเร็จ

ลูกน้องมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำงานให้สำเร็จ และมีส่วนสำคัญอย่างมากเช่นกันที่จะทำให้งานของเรานั้นเสียหายได้เช่นกัน ฉะนั้นตัวเราเองจะต้องมีความรู้และสามารถที่จะทำให้ลูกน้องนั้นเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเรา ถึงจะสามารถทำให้ลูกน้องทำงานตามความประสงค์ของเราและทำงานนั้นๆ ได้ด้วยความตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ

นั่นถึงจะใช้ความหมายของคำว่า "ลูกน้องเหมือนแขน และขา" ได้อย่างสนิทใจ แต่ถึงกระนั้นตัวเราก็อย่าทิ้งความเป็น "ผู้นำ" ที่ดีอย่างเด็ดขาด เมื่อลูกน้องต้องการความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหา เราต้องเป็นผู้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือในทันที ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่ในสายตาของเราก็ตามที

เรามาคิดกันเล่นๆนะครับว่าถ้าการคิดแก้ปัญหาต่างๆ เป็นเพียงแค่เราหรือใครเพียงคนๆเดียว มักจะเป็นการแก้ปัญหาทางออกเพียง "ช่องทางเดียว" ถ้าหากว่าเราคิดแก้ปัญหาแบบเป็น กลุ่ม หลากหลายความคิดช่วยกันแก้ปัญหามันจะมีทางออกหลายทางจากหลายความคิดมากขึ้น ไม่ว่าเราจะคุมลูกน้องกี่สิบคนหรือกี่ร้อยคนถ้าเรามีความคิดในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและร่วมกันแก้ปัญหานั้น ปัญหาจะค่อยๆคลี่คลายลงไปได้

ผมมีประสบการณ์ และเรื่องราวดีๆ ที่อยากมาเล่าให้ฟังกันครับ เมื่อครั้งที่ผมจบการศึกษาใหม่ๆ ประมาณปี 2532 มีเพียงกระดาษหนึ่งใบและต้องดิ้นรนหางานทำ ได้ไปสมัครงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกร อ.บางปะกง ตำแหน่ง “ผู้ช่วยจัดการฝ่ายผลิต” ด้านการผลิตเม็ดพลาสติก
ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์และผ่านงานมาก่อนเลย แต่มีหน้าที่จะต้องคุมลูกน้องทั้งหมดประมาณ 250 คน หน้าที่ตรงนี้มันจึงสร้างความเครียด ความกดดัน และความไม่พร้อมกับการที่จะคุมคนขนาดนี้ทำให้ผมเครียดอยู่หลายวัน

ผมมาคิดทบทวนถึงคำสอนของอาจารย์ท่านหนึ่งที่ได้สอนผมว่า "การจะคุมคนนั้นจะต้องใช้ใจในการคุมคนถึงจะได้ใจคนทำงาน" ผมเริ่มการใช้ทักษะตามที่อาจารย์ท่านได้สอนมา เริ่มจากที่ว่าเขากินอะไรผมกิน เขาทำอะไรผมช่วย เขามีปัญหาผมไม่หนีเขา ทำทุกๆ อย่างเพื่อที่จะได้ความไว้วางใจจากลูกน้อง ผมทำในลักษณะแบบนี้นานพอสมควรประมาณ 3-4 เดือนกับลูกน้องทุกๆ คนสิ่งที่ผมคิดและทำมันเริ่มส่งผลกลับมา ผมได้ใจหัวหน้างานและคนทำงานมากขึ้นเป็นลำดับ แถมยังได้เรียนรู้กรรมวิธีในแต่ละขั้นตอนของการผลิต ผมรับรู้ได้ว่าการที่เราได้ใจจากหัวหน้างานและคนทำงาน มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการทำงานร่วมกันเป็นทีมซึ่งเปรียบเป็น  “แขนและขา” เรานั่นเอง

แต่ไม่ว่าการทำงานอะไรก็ต้องมีปัญหาเรื่องคนเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ใช่ว่าผมจะได้ใจลูกน้องไปเสียทั้งหมดทุกคน ก็มีปัญหาตรงนี้อยู่บ้าง ผมใช้ทักษะของความอดทนในการแก้ไข ใช้ความคิดของคนหลายคนในการช่วยแก้ปัญหาต่างๆ จากการสร้างความสนิทสนมกับลูกน้องและความที่ไม่ถือตัวของผม จึงทำให้การทำงานสะดวกราบรื่นมาโดยตลอด

มีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อทางผู้บริหารโรงงานสั่งงานมาทางผู้จัดการเรื่องการทำโอทีในแต่ละวัน โดยจำกัดจำนวนคนที่จะต้องทำต้องไม่เกิน 27 คน ครั้งแรกผมกังวลอย่างมากในการเลือกคน แต่กลับไม่มีปัญหา เพียงผมแจ้งความประสงค์ไปว่าต้องการคนทำงานแบบไหนที่จะทำโอที ผมได้คนทำงานจริงๆ ทำตลอด งานจึงสำเร็จไปตามคาดหมาย

งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกลากัน เมื่อทำงานผ่านไปสักพักก็เกิดความเบื่อหน่ายต่ออาชีพนี้ เพราะว่างานที่ทำยังไม่ตอบโจทย์ในใจที่ผมต้องการ ตอนนั้นผมต้องการที่จะเข้าทำงานในวงการรถยนต์ มันมีความรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ท้าทายกับผมมาก จึงคิดว่าถึงเวลาที่จะไปทำตามความฝันและความต้องการที่ภายในมันเรียกร้องดังกึกก้องอยู่ในใจ ถึงแม้ต้องจากลูกน้องอันเป็นที่รักทุกๆ คนก็ตาม

ในวันที่ต้องอำลาจากไป ลูกน้องทุกคนพูดกับผมว่า "พี่อย่าไปเลย" ขอให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไป ลูกน้องหลายๆคนต่างก็ร้องไห้และทำหน้าเศร้าๆ ให้ได้เห็น ซึ่งผมเองสามารถรับรู้ความรู้สึกอย่างนั้นได้ ใจหนึ่งก็อยากที่จะอยู่ต่อ  แต่ใจหนึ่งก็ต้องไปทำตามใจตัวเองที่เรียกร้องมาอันนี้สำคัญกับตัวผมมากกว่า จำต้องเดินจากไปในที่สุด...........................................

นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีทำให้ผมรู้สึกประทับใจมาก เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าผมจะทำมันได้  และเป็นบทเรียนที่มีค่ามากของคำว่า "ลูกพี่" ที่ดีต้องทำอย่างไร?????????


    "เมื่อไรที่คุณมีโอกาสในการทำ คุณจงทำมัน ถ้าไม่อย่างนั่นคุณจะพลาดโอกาสในการทำ"


นี่คือสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะมอบสิ่งที่ดีๆ ให้ท่านทุกๆ ท่าน ด้วยบทความที่เขียนบอกเล่าประสบการณ์ส่วนนึง ให้ทุกท่านได้รู้ถึงวิธีคิดและวิธีการทำงานไม่มากก็น้อยที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของทุกๆท่านนะครับ
              



                                                                                        ด้วยความปราถนาดีจาก
                 
                             
                                                                                         By  "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"
                        
                          
                                                                                                       สวัสดี


Friday, September 16, 2016

"ขีดจำกัดของตัวเอง"

17-9-57

“เราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า”

คนเรานั้นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่มีอะไรใหญ่ที่สุดไม่มีอะไรยากที่สุด มันมีความท้าทายใหม่ๆ อยู่เสมอ ถ้าเราคิดว่ามันยิ่งใหญ่ก็จะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามาท้าทายอีกในครั้งต่อๆไป สิ่งสำคัญคือเราจะกล้าทำในสิ่งที่ท้าทายใหม่ๆนั้นหรือปล่าว  ผมมองว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นความท้าทายกำลังและสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาและการทำภาระกิจให้สำเร็จลุล่วง ถ้าเราคิดแต่จะใช้ตัวช่วย สุดท้ายเราก็ไม่เคยทำอะไรได้ด้วยตัวเอง หากจะถามว่าท้อแท้ไหมก็ต้องยอมรับว่าท้อ แต่จะคิดว่า “ท้อได้แต่อย่าถอย”

ผมผ่านความท้าทายหลายๆ งานในการทำงานที่หลากหลายทั้งที่ไม่เคยทำและไม่เคยรู้แต่สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในตัวผมเสมอคือผมจะศึกษาในงานที่ต้องทำอย่างจริงจัง อ่านให้รู้ในเรื่องงานนั้นๆให้มากที่สุดเพราะผมคิดว่าเมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงเราจะสามารถนำความรู้ที่ได้นั้นทดแทนประสบการณ์ที่เรายังไม่มีในการทำงานครั้งแรกนั้นได้ แต่เมื่อใดที่เราผ่านประสบการณ์นั้นๆ แล้วไม่ว่าจะทำอย่างผิดๆ ถูกๆ อย่างไร เราก็จะมีความคิดในการปรับปรุงการทำงานนั้นๆ ในครั้งต่อๆ ไป

โดยส่วนตัวของผมนั้นเวลาทำงานในขั้นตอนนึง จะไม่คิดข้ามกระโดดไปอีกขั้นตอนนึงเพราะก่อนที่จะลงมือทำเราจะวางแผนเป็นขั้นตอนไว้ก่อนเรียบร้อยแล้ว เมื่อลงมือปฏิบัติจะมุ่งมั่นทำงานในขั้นตอนนั้นๆเป็นหลัก เพื่อที่จะมีสมาธิกับงานและไม่รู้สึกท้อเพราะเรากำลังทำงานตามขั้นตอน แต่ถ้าเราทำงานในขั้นนี้อยู่ แล้วคิดไปถึงตอนทำงานในขั้นถัดไปจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยและท้อแท้ได้ ฉะนั้นถึงงานนั้นจะใหญ่แค่ไหนแต่ถ้าเราทำงานตามแผนงานที่เป็นขั้นตอนไปแล้ว สุดท้ายงานนั้นก็ย่อมสำเร็จลงได้อย่างแน่นอน

นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีๆที่ผมได้คิดและทำมาในชีวิตการทำงานต่างๆเป็นเกณฑ์ในการทำงานทุกงาน ท่านเองลองเอาแนวความคิดของผมนี้ลองเปรียบเทียบกับแนวความคิดของท่านดูนะครับแต่ไม่ใช่คำตอบทุกๆอย่างในความคิดของคุณนะครับ


ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้บอกเล่าประสบการณ์ที่ดีๆให้ได้รับรู้ถ้าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดีๆขอให้ท่านนำกลับไปใช้ แต่ถ้าเกิดสิ่งไหนที่ไม่เป็นประโยชน์ขอให้เก็บส่งคืนผมนะครับ

ความดีทุกๆอย่างที่ได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวให้ท่านได้ฟังนี้ สิ่งดีๆเหล่านี้ผมขอส่งมอบให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ด้วยสติปัญญาตลอดไป.....Ta......รักเสมอตลอดไป

         


               ด้วยความปราถนาดีจาก

                 

                   " โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                     

                            สวัสดี