26 ก.ย. 2559
ในช่วงเวลาของการเป็น "เซลส์ " ผมมีเรื่องราวที่ดีๆที่น่าประทับใจ ในอาชีพที่ผมรักมากนี้ จะมาเล่าเรียงให้ทุกๆท่านได้ฟังถึงประสบการณ์อันดีที่ผมได้เจอ ได้ผ่านช่วงเวลานั้นมา ให้ฟังครับ
ในช่วงเวลาของการเป็น "เซลส์ " ผมมีเรื่องราวที่ดีๆที่น่าประทับใจ ในอาชีพที่ผมรักมากนี้ จะมาเล่าเรียงให้ทุกๆท่านได้ฟังถึงประสบการณ์อันดีที่ผมได้เจอ ได้ผ่านช่วงเวลานั้นมา ให้ฟังครับ
ในระยะเวลา 4-5 ปี ของการเริ่มต้น อาชีพ "เซลส์แมน " แรกๆ เป็นมาอย่างไร มาดูกันครับ
เมื่อครั้งที่เริ่มสมัครเข้าทำงานที่โชว์รูมรถยนต์ที่นึง (ขออนุญาตที่จะไม่เอ่ยถึงโชว์รูมไหนยี่ห้ออะไร) ทางบริษัทได้ตอบรับเข้าทำงานในตำแหน่ง " เซลส์แมน " ขายรถยนต์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาครับที่เซลส์ใหม่ๆ
ที่เพิ่งเข้าไปทำงานนั้น จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกริยามารยาท ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เทคนิดการขาย การเจรจาต่อรองกับลูกค้า รุ่นรถที่จะต้องขาย ราคารถแต่ละรุ่น การคิดอัตราดอกเบี้ยไฟแนนซ์ ฯลฯ เมื่อเสร็จสิ้นในภาคทฤษฎีก็ถึงเวลาลงสนามขายจริงๆซึ่งจะแตกต่างจากที่นั่งเรียนมา
วันแรกของการทำงาน หัวหน้างานหรือที่เรียกกันว่า "ผู้จัดการขาย" จะเรียกประชุมทีมงานขายเป็นประจำทุกๆเช้า โดยการประชุมจะมีการสอบถามเซลส์ทุกๆคนถึงเรื่องยอดขาย,ยอดจองและลูกค้าทั้งหมดในมือของเซลส์แต่ละคนไล่มาจนสิ้นสุดที่ตัวผม และก็ไปตามที่ผมคาด ผู้จัดการขายไม่ถามอะไรผมซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ ผมไม่แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะว่าผมเองนั้นเป็นเซลส์ใหม่ ยังขาดประสบการณ์ในเรื่องการขายอยู่มาก แต่ในความรู้สึกผมนั้นมันกลับค้านขึ้นมาในใจว่า ผมเองก็มีความสามารถที่จะทำมันได้เหมือนกับเซลส์รุ่นพี่ๆ
ในเดือนแรกของการทำงานเป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ไหนจะต้องปรับตัวกับงานใหม่ ต้องหาลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่ตัวผมเองนั้นจะทำได้ ลองผิดลองถูก ซึ่งใช้สนามทดลองจริงๆเรียนรู้เทคนิคต่างๆมันทำให้ผมได้รู้ว่า นี่ไม่ใช่งานที่ง่ายๆเลย แต่มันก็เป็นบทพิสูจน์ที่ดีที่ผมเองก็ทำมันอย่างสุดความสามารถด้วยใจที่รักที่ทำอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจ พยายามที่จะทำให้เกิดยอดจองรถให้มากๆและมันจริงดั่งคำที่เขาว่ากัน "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่นเสมอ" และผมเองก็ทำมันได้ ในเดือนแรกนี้ผมสามารถรับจองรถกับลูกค้าได้มากถึง 18 คันแต่ยอดปล่อยรถนั้นยังไม่มี เพราะลูกค้าเองจะต้องผ่านกระบวนการต่างๆอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์จากไฟแนนซ์ให้เรียบร้อยก่อนจึงจะมาเป็นยอดที่ผมจะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้จริงๆ
ในเดือนที่สองเป็นเดือนที่ส่งผลมาจากการทำงานอย่างหนักในเดือนแรกผมสามารถที่จะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ทั้งหมด 18 คัน ตามยอดที่จองมาในเดือนแรก และผมก็ยังมุ่งหมั่นที่จะหาลูกค้าใหม่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งในเดือนนี้มียอดสั่งจองรถกับผมมาอีก 28 คัน เป็นสิ่งที่ผมประทับใจและทำงานเพื่อต่อยอดไปยังเดือนถัดๆไป
ในเดือนที่สามนี้เองซึ่งเป็นจุดพลิกผันที่สุดในชีวิตของการเป็น "เซลส์แมน" ในเดือนนี้ยอดจองที่คงค้างมา และยอดจองเพิ่มขึ้นอีก 33 คัน และผมปล่อยรถที่ค้างจองมาจากเดือนที่สอง และเดือนที่สามนี้ได้ทั้งหมด 37 คัน จุดพลิกผันนี้ส่งผลให้ผมไปยืนบนทำเนียบของคนที่มี "ยอดขายสูงที่สุด" ในโชว์รูมนี้ทันที มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก แต่ส่วนตัวของผมเองคิดภายใต้พื้นฐานที่ว่า "ผมยืนอยู่บนพื้นฐานของความไม่เอาเปรียบใคร หรือต้องการเอาลูกค้าคนอื่นเป็นของตัว"
ตลอดระยะเวลาที่ทำงานทั้งปีในปีนั้น ผมขึ้นทำเนียบของการเป็น "เซลส์แมน" ที่มียอดขาย "สูงที่สุด" ในประเทศ โดยทำยอดขายได้ทั้งหมด จำนวน 218 คัน ซึ่งมันเกินความคาดฝันของผมและเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่เอื้ออำนวยผมก็เป็นได้ เช่นสภาพเศรษฐกิจดี,การเงินของลูกค้าดี มันเป็นไปได้ทั้งหมดครับ
สิ่งที่เล่าถึงประสบการณ์ที่ประทับใจของผมนั้น ฟังดูแล้วเหมือนมันจะได้ทำง่ายดาย แต่ลองมาฟังเรื่องราวที่กว่าจะมายืนบนบนจุดของความสำเร็จนี้ได้ว่าผมได้ผ่านอุปสรรคอะไรมากันบ้าง มาดูกันครับ
การทำงานเป็น "เซลส์แมน" ในช่วงเริ่มต้นของผมช่วงนั้น ค่อนข้างที่จะลำบากมาก อดบ้างอิ่มบ้างในบางมื้อเรียกได้ว่ากินน้ำแทนข้าวได้เลย ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายใช้สอยมากนักหรือบางวันแทบไม่มีเลย แต่ผมไม่ยอมที่จะเอ่ยปากขอใคร ผมถือ คติ ที่ว่า "ผมยอมที่จะอดอย่างเสือ ดีกว่าอิ่มอย่างหมา" สำหรับการเดินทางมาทำงาน ผมต้องนั่งรถเมล์ถึง 4 ต่อกว่าจะถึงโชว์รูม ชุดที่จะใส่ทำงานมีเพียง เสื้อเชิ๊ตขาว 2 ตัว เนคไท 1 เส้น กางเกงขายาวสีดำเพียง 1 ตัวเท่านั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมปลอบใจตัวเอง เสมอๆ "ผมจะทำให้ทุกๆวันเป็นวันที่มีโอกาสที่ดีๆ เสมอสำหรับผม" เพราะผมรัก และศรัทธาในอาชีพนี้
"วันไหนที่มันมีปัญหา มันก็มีทางออกได้เสมอ"
"มีวันเริ่มต้นที่ดี มันก็ย่อมมีวันที่สิ้นสุดที่ดีเหมือนกัน"
เป็นสิ่งที่ผมใช้พูดเพื่อให้กำลังใจตัวเองเสมอในการทำงานและการดำเนินชีวิต
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมตั้งกฏเกณฑ์ กติกา การทำงานเฉพาะตัวเอง ที่ผมต้องทำตามกฏเกณฑ์ที่ผมตั้งไวัอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ข้อ แต่กฏเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้นี้ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบของการทำงานในสมัยปัจจุบันใหักับทุกๆคนได้ประสบผลสำเร็จอย่างที่ผมเคยทำได้เสมอไป เพราะปัจจุบันนี้มีปัจจัยหลายๆอย่างเข้ามาเพิ่มขึ้น มันเป็นกฏเกณฑ์ที่ผมตั้งเพื่อบริหารจัดการตัวผมเองและไม่ใช่กฏเกณฑ์ที่ตายตัวของความสำเร็จของใคร
มาดูกฏของผมกันครับ
ที่เพิ่งเข้าไปทำงานนั้น จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกริยามารยาท ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เทคนิดการขาย การเจรจาต่อรองกับลูกค้า รุ่นรถที่จะต้องขาย ราคารถแต่ละรุ่น การคิดอัตราดอกเบี้ยไฟแนนซ์ ฯลฯ เมื่อเสร็จสิ้นในภาคทฤษฎีก็ถึงเวลาลงสนามขายจริงๆซึ่งจะแตกต่างจากที่นั่งเรียนมา
วันแรกของการทำงาน หัวหน้างานหรือที่เรียกกันว่า "ผู้จัดการขาย" จะเรียกประชุมทีมงานขายเป็นประจำทุกๆเช้า โดยการประชุมจะมีการสอบถามเซลส์ทุกๆคนถึงเรื่องยอดขาย,ยอดจองและลูกค้าทั้งหมดในมือของเซลส์แต่ละคนไล่มาจนสิ้นสุดที่ตัวผม และก็ไปตามที่ผมคาด ผู้จัดการขายไม่ถามอะไรผมซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ ผมไม่แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะว่าผมเองนั้นเป็นเซลส์ใหม่ ยังขาดประสบการณ์ในเรื่องการขายอยู่มาก แต่ในความรู้สึกผมนั้นมันกลับค้านขึ้นมาในใจว่า ผมเองก็มีความสามารถที่จะทำมันได้เหมือนกับเซลส์รุ่นพี่ๆ
ในเดือนแรกของการทำงานเป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ไหนจะต้องปรับตัวกับงานใหม่ ต้องหาลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่ตัวผมเองนั้นจะทำได้ ลองผิดลองถูก ซึ่งใช้สนามทดลองจริงๆเรียนรู้เทคนิคต่างๆมันทำให้ผมได้รู้ว่า นี่ไม่ใช่งานที่ง่ายๆเลย แต่มันก็เป็นบทพิสูจน์ที่ดีที่ผมเองก็ทำมันอย่างสุดความสามารถด้วยใจที่รักที่ทำอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจ พยายามที่จะทำให้เกิดยอดจองรถให้มากๆและมันจริงดั่งคำที่เขาว่ากัน "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่นเสมอ" และผมเองก็ทำมันได้ ในเดือนแรกนี้ผมสามารถรับจองรถกับลูกค้าได้มากถึง 18 คันแต่ยอดปล่อยรถนั้นยังไม่มี เพราะลูกค้าเองจะต้องผ่านกระบวนการต่างๆอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์จากไฟแนนซ์ให้เรียบร้อยก่อนจึงจะมาเป็นยอดที่ผมจะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้จริงๆ
ในเดือนที่สองเป็นเดือนที่ส่งผลมาจากการทำงานอย่างหนักในเดือนแรกผมสามารถที่จะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ทั้งหมด 18 คัน ตามยอดที่จองมาในเดือนแรก และผมก็ยังมุ่งหมั่นที่จะหาลูกค้าใหม่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งในเดือนนี้มียอดสั่งจองรถกับผมมาอีก 28 คัน เป็นสิ่งที่ผมประทับใจและทำงานเพื่อต่อยอดไปยังเดือนถัดๆไป
ในเดือนที่สามนี้เองซึ่งเป็นจุดพลิกผันที่สุดในชีวิตของการเป็น "เซลส์แมน" ในเดือนนี้ยอดจองที่คงค้างมา และยอดจองเพิ่มขึ้นอีก 33 คัน และผมปล่อยรถที่ค้างจองมาจากเดือนที่สอง และเดือนที่สามนี้ได้ทั้งหมด 37 คัน จุดพลิกผันนี้ส่งผลให้ผมไปยืนบนทำเนียบของคนที่มี "ยอดขายสูงที่สุด" ในโชว์รูมนี้ทันที มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก แต่ส่วนตัวของผมเองคิดภายใต้พื้นฐานที่ว่า "ผมยืนอยู่บนพื้นฐานของความไม่เอาเปรียบใคร หรือต้องการเอาลูกค้าคนอื่นเป็นของตัว"
ตลอดระยะเวลาที่ทำงานทั้งปีในปีนั้น ผมขึ้นทำเนียบของการเป็น "เซลส์แมน" ที่มียอดขาย "สูงที่สุด" ในประเทศ โดยทำยอดขายได้ทั้งหมด จำนวน 218 คัน ซึ่งมันเกินความคาดฝันของผมและเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่เอื้ออำนวยผมก็เป็นได้ เช่นสภาพเศรษฐกิจดี,การเงินของลูกค้าดี มันเป็นไปได้ทั้งหมดครับ
สิ่งที่เล่าถึงประสบการณ์ที่ประทับใจของผมนั้น ฟังดูแล้วเหมือนมันจะได้ทำง่ายดาย แต่ลองมาฟังเรื่องราวที่กว่าจะมายืนบนบนจุดของความสำเร็จนี้ได้ว่าผมได้ผ่านอุปสรรคอะไรมากันบ้าง มาดูกันครับ
การทำงานเป็น "เซลส์แมน" ในช่วงเริ่มต้นของผมช่วงนั้น ค่อนข้างที่จะลำบากมาก อดบ้างอิ่มบ้างในบางมื้อเรียกได้ว่ากินน้ำแทนข้าวได้เลย ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายใช้สอยมากนักหรือบางวันแทบไม่มีเลย แต่ผมไม่ยอมที่จะเอ่ยปากขอใคร ผมถือ คติ ที่ว่า "ผมยอมที่จะอดอย่างเสือ ดีกว่าอิ่มอย่างหมา" สำหรับการเดินทางมาทำงาน ผมต้องนั่งรถเมล์ถึง 4 ต่อกว่าจะถึงโชว์รูม ชุดที่จะใส่ทำงานมีเพียง เสื้อเชิ๊ตขาว 2 ตัว เนคไท 1 เส้น กางเกงขายาวสีดำเพียง 1 ตัวเท่านั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมปลอบใจตัวเอง เสมอๆ "ผมจะทำให้ทุกๆวันเป็นวันที่มีโอกาสที่ดีๆ เสมอสำหรับผม" เพราะผมรัก และศรัทธาในอาชีพนี้
"วันไหนที่มันมีปัญหา มันก็มีทางออกได้เสมอ"
"มีวันเริ่มต้นที่ดี มันก็ย่อมมีวันที่สิ้นสุดที่ดีเหมือนกัน"
เป็นสิ่งที่ผมใช้พูดเพื่อให้กำลังใจตัวเองเสมอในการทำงานและการดำเนินชีวิต
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมตั้งกฏเกณฑ์ กติกา การทำงานเฉพาะตัวเอง ที่ผมต้องทำตามกฏเกณฑ์ที่ผมตั้งไวัอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ข้อ แต่กฏเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้นี้ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบของการทำงานในสมัยปัจจุบันใหักับทุกๆคนได้ประสบผลสำเร็จอย่างที่ผมเคยทำได้เสมอไป เพราะปัจจุบันนี้มีปัจจัยหลายๆอย่างเข้ามาเพิ่มขึ้น มันเป็นกฏเกณฑ์ที่ผมตั้งเพื่อบริหารจัดการตัวผมเองและไม่ใช่กฏเกณฑ์ที่ตายตัวของความสำเร็จของใคร
มาดูกฏของผมกันครับ
1. อย่าใช้เวลาในการพักมากเกินไปมันจะเกิดความเกียจคร้าน ต่อสิ่งที่จะทำต่อไปข้างหน้า
2. อย่าเห็นแต่ความสะดวกสบายในการทำงานมากจนเกินไป
3. ใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการทำงานให้มากๆ และบริหารเวลาในแต่ละครั้งให้ดีๆ
4. วินัย ในความรักในตัวเอง และรักต่ออาชีพที่ทำอย่างเต็มที่ (อันนี้สำคัญมากๆ)
5. อย่าได้ดูถูกตัวเองโดยเด็ดขาด เพราะคุณดูถูกตัวเองแล้วจะเป็นคน ที่ไม่น่าคบหาสมาคมด้วยเลย
6. หมั่นหาโอกาสให้ตัวเองเสมอ..อย่ารีรอให้โอกาสเข้ามาหาคุณโดยเด็ดขาดนะครับ.." ทำทุกๆวันให้เป็นโอกาส " ที่ดีที่สุดของคุณเสมอนะครับ
7. ช่วยเหลือเอื่อเฟื้อเผื่อแผ่กับเพื่อนร่วมงาน อย่างเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
วันหนึ่งวัน ของชีวิตการทำงานของเรา "เรามีเวลาในการทำงานเท่าเทียมกันเสมอ" แต่เวลาการทำงานของแต่ละคนนั้น "กลับมีเวลาการทำงานที่ไม่เหมือนกัน" มันน่าแปลกใจมาก
คุณอาจตั้งคำถามกับผมว่า
"ผมทำอย่างนี้ได้ยังไร?"
"วินัย"
คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายมากครับ มันเป็นสิ่งแรกที่ผมตั้งขึ้นมาในช่วงชีวิตตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานของผม แต่ไม่สามารถที่จะใช้กำหนดกฏเกณฑ์การทำงานของทุกๆท่านได้นะครับ
"ผมรักอาชีพในการขายและบริการ"
เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมเสมอมาและผมก็ทำมันของการเป็น "นักขายมืออาชีพ แต่ไม่ใช่มีอาชีพเพียงแค่นักขาย" ความตั้งใจของผมยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยังต่อยอดวิธีคิดและวิธีการทำงานที่ผ่านๆมาไปยังลูกน้องและลูกศิษย์ทั้งหลาย ถึงประสบการณ์ดีๆที่จะถูกถ่ายทอดให้กับพวกเขาเหล่านั้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ผมขออนุญาตที่จะนำเอาประโยคนึงที่ผมเห็นจาก Facebook ดูแล้วโดนใจผมมากๆขอเอามาเผยแพร่ให้ทุกๆท่านได้อ่านอีกครั้ง
"คำพูดที่จะฆ่าคนใช้คำพูดเพียงคำเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าจะสร้างคน ๆ หนึ่งเราต้องใช้คำพูดเป็นพันๆ หมื่นๆคำ"
ขอโปรดอย่าได้มอง "ความสำเร็จ" ของคนอื่นเพียงแค่ "ปลายเหตุของความสำเร็จของเขา หรือบทสรุปของเขาอย่างเด็ดขาด แต่คุณจงมองที่ต้นเหตุที่เขานั้นทำมา " ว่าเขาเหล่านั้นได้ผ่านอะไรมาบ้าง ? ได้เจอบททดสอบอะไรมาบ้าง ? ผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมาบ้าง ? ลองผิดลองถูกอะไรมาบ้าง ? แล้วขอให้เอาแนวทางการทำงานของเขา แนวคิดของเขา วิธีในการทำงานของเขา มองลองพิจารนา แต่เพียงเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของตัวเราเอง เพราะแต่ละคนมีวิธีคิดวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน
ในตอนหน้า ผมจะมาเล่าเรื่องที่ประทับใจกับลูกค้าท่านหนึ่งให้ทุกๆ ท่านได้รับฟังกันครับ
วันหนึ่งวัน ของชีวิตการทำงานของเรา "เรามีเวลาในการทำงานเท่าเทียมกันเสมอ" แต่เวลาการทำงานของแต่ละคนนั้น "กลับมีเวลาการทำงานที่ไม่เหมือนกัน" มันน่าแปลกใจมาก
คุณอาจตั้งคำถามกับผมว่า
"ผมทำอย่างนี้ได้ยังไร?"
"วินัย"
คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายมากครับ มันเป็นสิ่งแรกที่ผมตั้งขึ้นมาในช่วงชีวิตตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานของผม แต่ไม่สามารถที่จะใช้กำหนดกฏเกณฑ์การทำงานของทุกๆท่านได้นะครับ
"ผมรักอาชีพในการขายและบริการ"
เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมเสมอมาและผมก็ทำมันของการเป็น "นักขายมืออาชีพ แต่ไม่ใช่มีอาชีพเพียงแค่นักขาย" ความตั้งใจของผมยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยังต่อยอดวิธีคิดและวิธีการทำงานที่ผ่านๆมาไปยังลูกน้องและลูกศิษย์ทั้งหลาย ถึงประสบการณ์ดีๆที่จะถูกถ่ายทอดให้กับพวกเขาเหล่านั้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ผมขออนุญาตที่จะนำเอาประโยคนึงที่ผมเห็นจาก Facebook ดูแล้วโดนใจผมมากๆขอเอามาเผยแพร่ให้ทุกๆท่านได้อ่านอีกครั้ง
"คำพูดที่จะฆ่าคนใช้คำพูดเพียงคำเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าจะสร้างคน ๆ หนึ่งเราต้องใช้คำพูดเป็นพันๆ หมื่นๆคำ"
ขอโปรดอย่าได้มอง "ความสำเร็จ" ของคนอื่นเพียงแค่ "ปลายเหตุของความสำเร็จของเขา หรือบทสรุปของเขาอย่างเด็ดขาด แต่คุณจงมองที่ต้นเหตุที่เขานั้นทำมา " ว่าเขาเหล่านั้นได้ผ่านอะไรมาบ้าง ? ได้เจอบททดสอบอะไรมาบ้าง ? ผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมาบ้าง ? ลองผิดลองถูกอะไรมาบ้าง ? แล้วขอให้เอาแนวทางการทำงานของเขา แนวคิดของเขา วิธีในการทำงานของเขา มองลองพิจารนา แต่เพียงเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของตัวเราเอง เพราะแต่ละคนมีวิธีคิดวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน
"การดูแลลูกค้าก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ของความสำเร็จเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าไม่มีลูกค้าผู้มีพระคุณของผมก็จะไม่มีตัวผมในวันนี้ "
ผมขอมอบสิ่งที่ดีๆ ให้ท่านทุกๆ ท่าน ด้วยบทความที่เขียนบอกเล่าประสบการณ์ ให้ทุกท่านได้รู้ถึงวิธีคิดและวิธีการทำงานที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และผมขอบมอบสิ่งที่ดีๆ ที่ทุกๆ ท่านให้กลับมา ขอมอบให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ขอให้จิตใจอันดีอันบริสุทธิ์ของผมนี้ โปรดดลบันดาลความสุขทุกๆ อย่างให้กับเขา.....Ta......
พบกันใหม่ในตอนหน้า "ลูกค้าที่ผมประทับใจ "
พบกันใหม่ในตอนหน้า "ลูกค้าที่ผมประทับใจ "
ด้วยความปราถนาดีจาก
"โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"
สวัสดี
No comments:
Post a Comment