Friday, November 11, 2016

"ครูคนแรก"


                                                                                                                                                             1/11/2559




                    "ครูคนแรก"


ประสบการณ์อันประทับใจที่ทำให้ผมยากที่จะลืมเลือนได้ สำหรับอาชีพของการเป็นนักขายหรือเซลส์แมน

เรื่องมันก็เกิดกับผมเองอีกนั่นหล่ะครับ หลายคนอาจมองว่าทำไมชีวิตผมมันถึงมีอะไรเกิดขึ้นได้มากมายขนาดนี้ ก็ต้องตอบกันตรงๆ ครับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผมจริงๆ ซึ่งมันก็ยากนะครับที่ใครจะมีโอกาสเจอแบบผมอย่างนี้ เรามาลองอ่านกันดูนะครับ

ก่อนที่ผมจะก้าวเข้ามาเป็นเซลส์ที่บริษัทจำหน่ายรถยนต์นั้น ผมเคยทำงานด้านการขายรถกับบริษัทโบรกเกอร์มาก่อน ซึ่งขายรถยนต์ทุกยี่ห้อ โดยอาศัยการตัดรถเพื่อเอามาขายให้กับลูกค้า ซึ่งตอนนั้นผมเรียกได้ว่าเป็นเซลส์แบบบริสุทธิ์จริงๆ คือเป็นการทำงานครั้งแรกในอาชีพนี้ วิทยายุทธต่างๆ ในด้านงานขายไม่เคยได้ร่ำเรียนจากไหนมาก่อนเลย ต้องลองผิดลองถูกในสนามจริงๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประสบการณ์ที่ผมจำได้ไม่เคยลืมเลือนเลย วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้อยู่เวรประจำที่โชว์รูม มีโอกาสได้ต้อนรับลูกค้าคนแรกในชีวิตของการเป็นเซลส์ขายรถ ผมขออนุญาตใช้คำเรียกแทนลูกค้าท่านนี้ว่า "พ่อเลี้ยง" นะครับ

พ่อเลี้ยงท่านเป็นคน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วพ่อเลี้ยงทางภาคเหนือในสมัยนั้นจะทำธุรกิจค้าไม้เป็นอันดับต้นๆ (สมัยก่อนมีการให้สัมปทานทำไม้ในภาคเหนือเยอะมาก แต่ปัจจุบันหาไม่มีแล้ว)

พ่อเลี้ยงเดินสูบซิกก้ามวนใหญ่ๆ เข้ามาในโชว์รูมตอนสายๆ ของวันนั้น ท่านเป็นคนพูดเสียงดังฟังชัดท่าทางค่อนข้างที่จะดุมาก ประโยคแรกที่พ่อเลี้ยงพูดออกมาว่า “จะมาดูรถ” ผมได้ยินเสียงนั้นค่อนข้างที่จะดังมาก จึงรีบหันไปหาที่มาของเสียงนั้นทันที พอผมเห็นต้นตอของเสียงก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปให้การต้อนรับลูกค้าท่านนี้ทันที ตามประสาของความที่เป็นเซลส์ใหม่ที่ต้องกระตือรือร้นในการต้อนรับ ดูแลเทคแคร์พ่อเลี้ยงอยู่นานพอสมควรพูดคุยสนทนากันถูกคอมาก ด้วยอุปนิสัยที่รักการบริการของผมจึงไม่เป็นการยากสำหรับเรื่องนี้

ความประสงค์ของพ่อเลี้ยงคือต้องการอยากจะได้เบนซ์ E 230 หนึ่งคัน ในราคาล้านกว่าบาทในสมัยนั้น หลังจากเจรจาตกลงเรื่องราคารถกันเสร็จสรรพ ผมก็จัดเตรียมเอกสารใบจองแล้วเขียนใบจองด้วยความเร่งรีบและตื่นเต้นระคนกันไปกับความดีใจที่ได้รับจองลูกค้ารายแรกในชีวิต (หลายๆ คนคงจะเป็นเหมือนผมนะครับประเภทมือไม้สั่นอะไรประมาณนั้น) จัดการเขียนใบสั่งจองเสร็จเรียบร้อยและพร้อมที่จะส่งใบจองให้กับพ่อเลี้ยงเพื่อเซ็นต์ชื่อในการจองรถ ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิด ผมไม่ได้คิดเฉลียวใจเลยสักนิดว่าพ่อเลี้ยงแกกำลังคิดอะไรกับผมอยู่ ณ ตอนนั้นซึ่งเป็นการคาดเดาได้ยากมากสำหรับลูกค้า

พอผมยื่นใบจองให้พ่อเลี้ยงเซ็นต์ชื่อ ตัวพ่อเลี้ยงเองชำเลืองมองมายังปากกาที่ผมยื่นให้เซ็นต์พร้อมกับใบสั่งจอง  ซึ่งแกก็เซ็นต์ชื่อตามที่ผมได้ยื่นไปทุกอย่าง พอเซ็นต์เสร็จผมขออนุญาตพ่อเลี้ยงที่จะขอรับเงินจองรถเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท เพื่อที่จะนำเงินและใบสั่งจองรถส่งให้กับธุรการขายเพื่อทำการออกใบเสร็จรับเงินจองและสำเนาใบสั่งจองรถให้กับลูกค้า

คุณเห็นหรือเปล่าครับดูๆ แล้วมันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมเลย..........แต่ทันใดนั้นเองปากกาเจ้ากรรมด้ามนั้นที่ผมส่งให้พ่อเลี้ยงเซ็นต์ชื่อในใบจอง พ่อเลี้ยงได้ปาปากกาด้ามนั้น ใส่กลางหลังของผมอย่างเต็มแรง

ความรู้สึกตอนนั้นมันตกใจ และมันตื้อไปหมดในขณะนั้น แต่แปลกมากผมไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรพ่อเลี้ยงเลยสักนิด แต่กลับคิดว่า "ความผิดพลาดนั้นมันต้องเกิดจากเราอย่างแน่นอน" คิดได้ดังนั้นจึงหันหลังกลับไปถามพ่อเลี้ยงด้วยกิริยาท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อม พร้อมกับถามออกไปว่า

“พ่อเลี้ยงครับผมบริการหรือดูแลพ่อเลี้ยงผิดพลาดประการใด สิ่งไหนที่กระผมได้ทำผิดพลาดไปขอให้พ่อเลี้ยงได้กรุณาชี้แนะและสอนผมด้วยนะครับ”

แกตอบกลับมาว่ายังไงรู้มั๊ยครับ

“มึงไม่ได้ดูแลกูผิดพลาดอะไรเลย มึงดูแลกูได้ดีมากๆ  แต่!!! มึงจะดูถูกลูกค้าทุกคนอย่างนี้ไม่ได้”

เอาแล้วสิครับ ด้วยความที่เป็นเซลส์ใหม่คิดอะไรก็ไม่ออกเลย นิ่งคิดอยู่นานพอสมควรก็เลยถามพ่อเลี้ยงกลับไปอีกว่า

 "ขอโทษนะครับกระผมได้ดูถูกพ่อเลี้ยงตรงไหนโปรดแจ้งกระผมด้วยครับเพื่อการพัฒนาการบริการของผมให้ดีขึ้นกว่าเดิม"

เพราะด้วยความที่ผมนั้นเป็นเซลส์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องการบริการอย่างนี้มาก่อนเลย ถ้าเจอเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ผมจะทำยังไงและจะต้องแก้ไขด้วยวิธีไหน

พ่อเลี้ยงก็เลย "สั่งสอน" ผมว่า

"ไอ้โอ๋มึงไม่ได้ดูแลลูกค้าผิดพลาดขั้นตอนไหนเลย มึงทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีที่สุดแล้ว แต่ตัวมึงลืมคิดไปว่า ปากกาที่มึงให้กูเซ็นต์นั้นมันเป็นปากกาอะไร ลูกค้าคนอื่นอาจจะไม่คิด แต่ให้ระวังถ้าเกิดลูกค้าเขาคิดขึ้นมา แล้วมึงจะทำอย่างไร? "

(ขออนุญาตใช้ประโยคเดิมที่พ่อเลี้ยงได้สั่งสอนผมมานะครับ อาจจะไม่สุภาพไปบ้างเพราะท่านให้ความเป็นกันเองอย่างมากกับผม)

“มึงต้องให้ความสำคัญมากกว่านี้ ให้ระวังการใช้สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ให้มากๆ กูซื้อรถมึงราคาเป็นล้าน แล้วทำไมมึงถึงยื่นปากกาแบบนี้ให้กูเซ็นต์ กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงหรอกนะ แต่ถ้าเป็นลูกค้าคนอื่นหล่ะเขาจะคิดยังไงกับมึง??”

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ใครมันจะไปคิดได้จริงมั๊ยครับ (เพราะมันเป็นเรื่่องเล็กน้อยสำหรับเรา เลยทำให้เราลืมความสำคัญตรงนี้ไป แต่ในมุมมองของลูกค้าแล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกๆคนอย่าได้ลืมเรื่องเล็กๆน้อยในลักษณะแบบนี้หรือแบบอื่นๆไปเสียนะครับ)

พอได้ยินแกบอกผมอย่างนั้นแล้ว ผมนั้นรีบยกมือไหว้เพื่อขอโทษและขอบคุณพ่อเลี้ยงทันที

"ด้วยความเคารพครับ กระผมเป็นเซลส์ใหม่เพิ่งมาทำงานได้เพียงไม่กี่วันเองครับพ่อเลี้ยง ถ้าสิ่งไหนที่ผมได้ทำผิดพลาดไป กระผมต้องกราบขอประทานโทษด้วยจริงๆ"


ผมเองไม่มีเงินพอที่จะซื้อหาปากกาดีๆ เอาไว้พกเพื่อบริการลูกค้าผู้มีพระคุณได้เซ็นต์ใบจองครับ แม้แต่เสื้อผ้าผมเองก็มีเพียงแค่ชุดเดียว ที่จะต้องซักทำความสะอาดมันทุกๆวัน

 "แต่ในจิตใจของผมมันเต็มไปด้วยหัวใจของการบริการและงานขายที่ผมจะทำมันให้ดีที่สุดเท่านั้นที่ผมนั้นสามารถทำมันได้"

ผมพูดกับพ่อเลี้ยงซึ่งแกก็ฟังอย่างตั้งใจในสิ่งที่ผมได้บอกไป (เพราะมันเป็นเรื่องจริงไม่มีอะไรที่จะต้องโกหกลูกค้า) เมื่อพูดคุยทำความเข้าใจเรียบร้อยต่างคนก็ต่างเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้นก็ล่ำลากันไป ส่งลูกค้าเสร็จเรียบร้อย ผมกลับมานั่งคิดถึงคำที่พ่อเลี้ยงได้กรุณาสั่งสอนผมไว้ ซึ่งผมถือว่าเป็นคำสอนที่มีค่ามากสำหรับผมมาจนถึงทุกวันนี้

"คำสอนที่พ่อเลี้ยงได้กรุณาสอนผมไว้นั้นมันยังดังกึกก้องอยู่ในหัวสมองของผมอยู่ตลอดเวลา"

หลังจากวันนั้นผ่านไปอีก 7 วัน ถึงวันที่พ่อเลี้ยงมารับรถตามใบจอง ผมทำหน้าที่จัดการทุกขั้นตอนตั้งแต่ทำความสะอาดรถเองและทำทุกๆ อย่างเองทั้งหมด เตรียมความพร้อมการส่งมอบรถให้กับพ่อเลี้ยงเป็นอย่างดีทุกขั้นตอน อธิบายรายละเอียดการใช้งานต่างๆ ของตัวรถ การใช้งานและการดูแลรักษาเบื้องต้น จนเป็นที่เข้าใจของพ่อเลี้ยง ไม่มีข้อไหนเลยที่พ่อเลี้ยงจะต้องสอบถามเพิ่มเติมอีก (ดูมันช่างง่ายนะครับ ถ้าหากว่าเรานั้นได้ใจของลูกค้าทั้งหมดแล้ว)

พอผมได้ส่งลูกค้าขึ้นรถเรียบร้อยแล้วสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็เกิดกับผมอีกครั้ง จนได้ เรื่องมันมีอยู่ว่า พอพ่อเลี้ยงก้าวขึ้นรถเรียบร้อยแกก็เรียกผมมาหาอีกครั้ง

 " พ่อเลี้ยงได้ยื่นกล่องสีดำมาให้ผมหนึ่งกล่อง พร้อมกับซองสีขาวอีกหนึ่งซอง "

แกพูดกับผมว่า

 “นี่เป็นรางวัลสำหรับการต้อนรับดูแลลูกค้าเป็นอย่างดีของมึงนะ กูอยากให้มึงเก็บเอาไว้ใช้ และมึงต้องสัญญากับกูว่ามึงจะต้องดูแลลูกค้าของมึงทุกๆ คนเหมือน ผู้มีพระคุณ ของมึง”

(ฟังแล้วมันเกิดแรงบันดาลใจกับผมอย่างมากที่จะมุ่งมั่นให้การบริการลูกค้าของผมนั้นได้พัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ)

ท่านรู้มั้ยครับพ่อเลี้ยงได้ให้อะไรกับผมเอาไว้ "กล่องดำ" ของพ่อเลี้ยงนั้นเป็น กล่องปากกายี่ห้อดัง      "ม็องบลัง" (คิดราคาคร่าวๆในสมัยนั้นก็น่าจะอยู่ราวๆ 8-9 พันบาทเห็นจะได้) และซองขาวอีกหนึ่งซอง ภายในซองบรรจุเงินสดอยู่จำนวน 20,000 บาท (ท่านลองคิดดูสิว่าเงินจำนวนนี้ในสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมานั้นคุณค่าของเงินมันจะประมาณไหนเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยนี้) พ่อเลี้ยงได้พูดกับผมอีกว่า

“นี่คือทุนชีวิตของมึงเอาไว้สำหรับการทำงาน และให้รักษามาตรฐานการทำงานที่ดีๆอย่างนี้ต่อไป ชีวิตมึงจะต้องไปได้ดีกว่านี้แน่นอน”

(มันเป็นคำอวยพรที่ทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้มใจมากที่สุด)

ไม่ต้องถามผมเลยนะครับว่าตอนนั้นผมรู้สึกอย่างไรกับมัน นี่หรือที่เขาพูดกันว่า

“ทำอะไรก็แล้วแต่อย่าได้คิดถึงสิ่งตอบแทนที่จะกลับมาหาเรา เพียงแต่ให้พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดสำหรับหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ”

เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับหน้าที่ของ "เซลส์แมน" อย่างเราๆ

ผมเข้าใจคำสอนของพ่อเลี้ยงตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาว่า "ลูกค้าทุกๆ คนเป็นผู้ที่มีพระคุณของเรา"

วันที่ผมมีความรู้สึกที่คิดอะไรไม่ออก หรือทำอะไรไม่ได้อย่างที่ใจเราคิด ผมมักจะเปิดปากกาด้ามนี้ขึ้นมาดูทุกๆครั้ง มันทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้งที่ได้เห็นมัน มันเปรียบเสมือนกำลังใจในการทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบทุกๆครั้งไป

ผมตั้งใจเก็บรักษาปากกาด้ามนี้เอาไว้อย่างดีที่สุดไม่เคยที่จะนำออกมาใช้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เก็บเอาไว้เป็น "ครู" ที่คอยสอน คอยเตือนสติอยู่ตลอดเวลา ยามใดที่เราคิดอะไรไม่ออก บริหารงานได้ไม่ดีพอ เกิดความท้อแท้ในใจ หรือมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวผม "ผมมักจะเปิดกล่องปากกาด้ามนี้ออกมาดู" ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ทุกครั้งที่ได้เห็นปากกาด้ามนี้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยากหรือง่ายแค่ไหนก็ตาม ผมก็จะผ่านมันไปได้ทุกครั้ง

นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สร้างความประทับใจที่ผมไม่อาจลืมเลือนมันไปได้ เป็นเหมือนแสงสว่างนำทางผม ที่ลูกค้าท่านนี้ได้จุดประกายความรับผิดชอบในหน้าที่นี้ให้กับผม และยืนหยัดขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้

สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกพวกเราว่า

“เราทุกคนไม่ว่าจะทำหน้าที่ตรงไหนจุดไหนก็ตาม เรานั้นได้ทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบอย่างเต็มความสามารถของตัวเองดีแล้วหรือยัง”

 เป็นสิ่งที่ผมอยากจะฝากให้ทุกๆ คนได้คิดเป็นแนวทางในการทำงานเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ประสบการณ์ของเรา เราสามารถสร้างขึ้นมาได้เสมอไม่ว่าคุณหรือผมจะอยู่ในยุคสมัยไหนก็ตาม อยู่ที่ว่าเรานั้นจะสร้างมันขึ้นมาในงานรูปแบบใด หรือจะสร้างมันมาอย่างไร และขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ดีๆ เหล่านี้ไว้เพื่อสอนน้องๆ ลูกทีมของคุณในอนาคต และเพื่อเตือนสติตัวเราเอง

สิ่งที่ผมได้เขียนให้ทุกท่านอ่านนี้ ไม่ใช่ว่าตัวกระผมนั้นจะเก่งถึงขนาดนั้น แต่มันเป็นประสบการณ์ดีๆที่ได้ผ่านมา ไม่ได้มีเจตนาร้ายที่จะกล่าวโทษใครทั้งนั้น แต่เป็นเจตนาที่ดีที่จะให้ทุกๆ คนได้รับรู้และเป็นสิ่งที่คอยเตือนสติในชีวิตการทำงานเพียงเท่านั้นเอง

ถ้าสิ่งไหนที่ท่านสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้จากบทความนี้ กระผมขอมอบสิ่งที่ดีๆ กลับคืนสู่ท่านทั้งหมด และส่งผ่านไปยังผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดให้เขาได้มีกำลังใจและทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

Ta........รักและห่วงเสมอ

     

                    ด้วยความปราถนาดีจาก

                     "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                              สวัสดี


♡♡ ขอบคุณทุกๆท่านที่ได้ติดตามงานเขียนบทความมาโดยตลอด ♡♡

www.โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง.com

snuprai.blogspot.com

Facebook:songrit songrit

Line ID:taaoo429




No comments:

Post a Comment