14 ตุลาคม 2559
LEADERSHIP
อีกหนึ่งหน้าที่ของความประทับใจของผมที่ได้สัมผัสมาเหมือนๆกันกับผู้จัดการฝ่ายขายทุกๆคนคือ
ตำแหน่ง "ผู้จัดการฝ่ายขาย "
วันนี้ก็อีกเช่นเคยที่จะเขียนเล่าเรื่องราวประสบการณ์ดีๆที่ผมได้มีโอกาสได้ทำได้สัมผัสกับตำแหน่ง "ผู้จัดการฝ่ายขาย " มาเล่าสู่กันฟังนะครับ
มาเริ่มกันเลยนะครับกับหน้าที่ตรงนี้เวลานั้นก็ได้ผ่านมานานน่าจะประมาณ 16-17 ปีเห็นจะได้ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2539 อันนี้จำแม่น เป็นวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น " ผู้จัดการฝ่ายขาย " ของโชว์รูม เป็นวันที่มีความรู้สึกสองอย่างระคนกัน
อย่างแรกคิดในใจ "เราจะทำหน้าที่" ตรงนี้ได้ดีหรือเปล่า
อย่างที่สองก็คิดว่า "เราจะนำพาลูกน้องที่ต้องดูแล และยอดขายไปในทิศทางไหน? "
เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจผม ณ เวลานั้น ทำให้จิตใจคิดฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยคิดไปต่างๆนาๆ (อันนี้เป็นเรื่องปกติของผมไปแล้วนะครับ คิดมาก และคิดอะไรไปทั่วมั่วกันไปหมด ประเภทคิดเล็กคิดน้อยคิดเองเอ่อเองอะไรประมาณนั้นมีคนเขาด่าผมมาแบบนี้ แต่ผมก็ขอบคุณคนที่ด่าผมมาอย่างมากนะครับ)
วันแรกของการงานในหน้าที่ใหม่ ยังปรับตัวกับหน้าที่ยังไม่ได้ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนอะไรหลังดี จับต้นชนปลายไม่ถูก ลูกค้าตัวเองที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนก่อนที่จะย้ายมา ผมจะเอายังไงจะดูแลลูกค้าต่อหรือจะทิ้งลูกค้าเหล่านั้นไป ก็เลยตัดสินใจที่จะต้องดูแลลูกค้าเก่าๆ และขายรถให้กับลูกค้าใหม่ที่ผมติดตามมาทั้งก่อนและหลังจะมา
ผมคิดที่จะขายเองดูแลลูกค้าเองตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ลูกน้องทั้งหมด 7 คนในเวลานั้น ได้แต่นั่งทำตาปริบๆดูสิ่งที่ผมทำ โดยผมไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่จับจ้องมองของลูกน้องผมเลย นั่นมันหมายความว่า "ผมเป็นผู้จัดการสันดานเซลส์ " ซึ่งในความคิดตอนนั้นเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมปล่อยรถคนเดียวต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 17-18 คัน ในช่วงที่นั่งในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย
ระยะเวลาผ่านไป 3-4 เดือนเห็นจะได้ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับโชว์รูมที่ผมอยู่ นั่งคิดวิตกกังวลในใจว่าเราจะทำแบบนี้ไม่ได้ ตัวเราอยู่ได้แต่เพียงคนเดียว แต่ลูกน้องเราจะอยู่ยังไง พอคิดได้อย่างนั้นก็หันกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทันที โดยเอาหลักการทำและวิธีคิดเมื่อครั้งสมัยที่เคยทำงานที่โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก (หวังว่าทุกๆคนคงจะจำกันได้)
เริ่มจากเปลี่ยนความคิดของตัวเองเสียใหม่ "เราจะปกครองคน" ที่อยู่กับเราได้อย่างไร?,จะทำวิธีไหนที่จะสอนเขาให้เป็นเซลส์ที่ดีที่เก่งๆ ให้เขาดูแลตัวเขาเองได้ ดูแลลูกค้าของเขาได้อย่างไร? ให้เขามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการทำงานได้อย่างไร? ทุกๆปัญหาที่คิดเราจะต้องเป็นคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะปัญหาเหล่านี้มันอยู่ในมือเรา " บริษัทเขาจ้างเรามาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่จ้างเรามาเพื่อให้ดูแค่ปัญหา " ผมคิดได้อย่างนั้น ผม " เปลี่ยนมุมมองปัญหาที่เกิดให้เป็นโอกาสของผมในทันที "
ผมเริ่มปัดฝุ่นวิธีคิดของผมแบบนี้เลย เอาหล่ะถ้าเราจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีแล้วเรามาเริ่มที่ตัวของ
"ลูกน้อง" กันก่อนเป็นอันดับแรก เป็นความคิดที่ถูกสำหรับผมในเวลานั้น
"ลูกน้อง" กันก่อนเป็นอันดับแรก เป็นความคิดที่ถูกสำหรับผมในเวลานั้น
ผมดูแลลูกน้องทั้งบอกทั้งสอนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า,วิธีการขายจะต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก,การแต่งกายควรจะต้องแต่งกายอย่างไร,การพูดเจรจากับลูกค้าควรจะเจรจาแบบไหน,การบริการลูกค้าทุกอย่าง แม้กระทั่งเวลาในการทำงานควรจะรับผิดชอบอะไรในการทำงานบ้าง,ความคิดก่อนที่จะมาทำงานในแต่ละวันเขาควรจะต้องคิดอะไรก่อนมาทำงาน ผมสอนเขาจนหมด แต่ก็อย่างว่านะครับ ลูกน้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดีไม่เท่ากัน ต้องอาศัยความพยายามอย่างมากในการสอนเขาทั้งหมด มันยากลำบากมั๊ยที่ผมได้พูดมา
จนผมได้รู้แม้กระทั่งว่าลูกน้องแต่ละคนมีดี มีเสียแตกต่างกันอย่างไร จะแยกให้เขารับผิดชอบงานแบบไหนที่จะตรงตัวเขากับงานในแต่ละงานที่เราจะสั่งให้เขาทำ ผมสามารถแยกมันออกมาได้
จนผมได้รู้แม้กระทั่งว่าลูกน้องแต่ละคนมีดี มีเสียแตกต่างกันอย่างไร จะแยกให้เขารับผิดชอบงานแบบไหนที่จะตรงตัวเขากับงานในแต่ละงานที่เราจะสั่งให้เขาทำ ผมสามารถแยกมันออกมาได้
ผมทำแบบนี้กับลูกน้อง 3-4 เดือน ลูกน้องลำบากผมต้องลำบากมากกว่า , ลูกน้องเหนื่อยผมต้องเหนื่อยมากกว่า , ลูกน้องทำงานหนักผมต้องทำงานหนักให้มากกว่า ผมมีความรักให้เขาตลอดมา เวลามีปัญหาผมคอยแก้ไขให้ทุกอย่างและสอนวิธีการแก้ปัญหาให้เขาเป็นเคสๆไป ให้ตัวเขาได้จดจำวิธีการแก้ปัญหานั้น ไม่เคยทิ้งลูกน้องไปไหนไม่ว่าปัญหาที่เกิดจะหนักหรือจะเบาอย่างไร (ผมเชื่อว่าผู้จัดการทุกท่านก็เป็นแบบนี้นะครับ) ผมก็ไม่เคยทิ้งเขาผมอยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดเวลาในการทำงาน หรือนอกเหนือเวลาทำงาน และสิ่งที่ผมทำก็เห็นผล ผมได้ใจลูกน้องทั้งหมดมาทุกคน (ได้ทีผมหล่ะครับทีนี้ผมจัดหนักเลย)
โชว์รูมซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นโชว์รูมที่ห่างไกลมากไม่มีใครที่อยากจะมาอยู่ที่โชว์รูมนี้ ต้นหญ้าสูงๆปิดบังทัศนียภาพหน้าโชว์รูมซึ่งดูเผินๆผ่านๆจะมองแทบไม่เห็นโชว์รูมนี้เลย และยอดขายก็ขายน้อยมากเมื่อก่อนยอดขายที่โชว์รูมนี้ขายกันได้ไม่ถึง 10 คันต่อเดือน มันเป็นอะไรที่ยากและท้าทายความสามารถของผมอีกแล้ว (มันมีแต่เรื่องที่ให้คิดตลอดเวลาเลยแต่ก็ดีนะครับมีอะไรให้ฝึกสมองของเราดี) ซึ่งเมื่อก่อนตอนเป็นเซลส์แมนผมทำงาน 32 วันในหนึ่งเดือน แต่หน้าที่ผู้จัดการผมทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 45 วันต่อเดือน อย่าถามถึงเวลาที่จะให้ผมจะได้พักเลยนะครับตอบได้เลยว่า "ไม่มี" แต่สุขใจอย่างมาก (คิดว่ามันคงไม่เหมือนกับผู้จัดการสมัยนี้ที่ต้องการหาแต่วันหยุดพักกันนะครับ)
ผมเริ่มปฏิบัติกับลูกน้องใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่พาลูกน้องดูแลโชว์รูมให้ดูสะอาดสะอ้านน่ามองมากยิ่งขึ้น ปัดกวาดเช็ดถูกันใหม่หมด จัดการตกแต่งปักธงราวให้ดูดีมีสีสรรมากขึ้นกว่าเดิม ทำอยู่อย่างนี้กับลูกน้องอยู่นานพอสมควรและทำควบคู่ไปกับการสอนงานขายเขาไปด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่จะทิ้งไปไม่ได้เลยสำหรับงานขาย ทำสองสามอย่างในเวลาเดียวกัน แต่อยู่ในขั้นตอนเดียวกันไม่ได้ข้ามขั้นตอนไหนเลยมันอยู่ในแผนงานที่ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก
เมื่อพูดถึงความลำบากยิ่งเวลาหน้าฝนๆตกหนักๆน้ำท่วมหน้าโชว์รูม อย่าให้ได้บอกเลยนะครับมันจะลำบากแค่ไหน ผมกับลูกน้องต้องแบกท่อพระยานาค (ท่อสูบน้ำเป็นเหล็กขนาดใหญ่) เดินเครื่องสูบน้ำกันเอง มันเหนื่อยแบบสุดๆเลย ไม่เป็นอันต้องขายรถกันเลยถ้าเวลาน้ำท่วม ใครจะกล้าเข้ามาซื้อรถกับโชว์รูมของผมกันหล่ะครับถ้าเราไม่ทำ
ผ่านช่วงระยะเวลาของการทำมาได้ประมาณ 6-7 เดือน ทุกๆอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทางของมันมากขึ้น ทั้งจิตใจลูกน้องที่อยู่กับผมเองมันแข็งแรงแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมมาก โชว์รูมก็พร้อมเต็ม 100% ผมเริ่มเดินเครื่องเต็มสูบอย่างเต็มที่เลยที่นี้ที่จะต้องนำพาลูกน้องขายอย่างไรให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก
ผมเริ่มคิดถึงเรื่องยอดขายก่อนเป็นอันดับต่อมา แต่ก่อนที่จะขายเราต้องมีทีมงานที่แข็งแรงเสียก่อน ผมสอนและแนะนำลูกน้องใหม่ทั้งหมด (แต่ก็สอนมาเรื่อยๆตั้งแต่ตอนแรกๆ) สอนถึงวิธีที่จะหาลูกค้ามาได้อย่างไร ที่จะทำให้ได้มาซึ่งลูกค้าที่จะต่อยอดเป็นยอดขายได้ และจะต้อง Keep ลูกค้าให้อยู่กับเราให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้อย่างไร โดยผมไม่ยอมที่จะให้ลูกน้องต้องอยู่เฉยๆในโชว์รูมอย่างเด็ดขาดมันเสียเวลาในการทำมาหากินอย่างสิ้นเชิง พยายามที่จะสอนให้ลูกน้องสร้างโอกาสในการขายรถของตัวเองทุกๆวินาที และทุกๆวันโดยมีผมเป็นคนคิดหาวิธีการเหล่านั้นให้กับเขา
ในทุกๆเช้าตอนประชุมกันผมจะถามปัญหาต่างๆที่ลูกน้องได้ไปเจอมาซึ่งแต่ละคนเจอมาไม่เหมือนกันของลูกค้าเอามาเล่าให้ฟังกันในที่ประชุมเพื่อวิเคราะห์แก้ปัญหา ในส่วนตัวผมนั้นไม่เคยที่จะคิดเอาเฉพาะความคิดของตัวเองเป็นหลักใหญ่แต่จะคอยถามถึงวิธีการต่างๆจากลูกน้อง ปัญหาทั้งหมดจะถูกนำมาประมวลปัญหาและวิธีแก้ไขร่วมกัน สุดท้ายก็จะถูกประมวลปัญหา และแนวทางการแก้นั้นด้วยตัวของผมเองโดยการแยกคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน (ท่านคงจะเห็นได้นะครับว่าคนเป็นหางเสือเรือที่จะต้องกำหนดทิศทางของเรือนั้นจะต้องมีแนวคิดอย่างไร)
ในปีแรกของการเป็นผู้จัดการนั้นซึ่งมีเวลาในการทำงานเพียง 9 เดือน (เม.ย.-ธ.ค.) สำหรับหน้าที่ของผู้จัดการขายครั้งแรกในชีวิต มีทั้งสุขทั้งทุกข์ เราก็จะไปพร้อมๆกันกับทีมงานที่แข็งแรงของผมทุกคน เราสร้างกันมานานพอสมควรแล้วผมได้มีทีมงานที่แข็งแรงทั้งทางด้านสภาพจิตใจร่างกายและการทำงานสมดั่งใจที่ปราถนาตั้งใจทำให้เกิดได้ ผมได้ "ลูกน้องที่เป็นเหมือนแขนและขา" ของผมจริงๆ สรุปโดยรวมในปีแรกของการรับหน้าที่เรามียอดปล่อยรถทั้งสิ้น 243 คัน (ระยะเวลาเพียง 9 เดือน) จากโชว์รูมที่ไม่มีใครอยากจะมากัน เราเริ่มที่จะมีชื่อกับเขาแล้วเริ่มที่จะขึ้นทำเนียบอีกครั้งแล้วครับ เหมือนกับตอนที่ผมเป็นเซลส์แมน
ที่ผมพูดให้ท่านได้ฟังนี้ก็เป็นเพราะการที่ผมคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องผ่านกระบวนการทางความคิดของผมเสียก่อน คิดแบบเป็นขั้นเป็นตอนและไม่ก้าวข้ามการทำของแต่ละขั้นตอนไป ให้ความสำคัญกับขั้นตอนที่ทำอยู่เป็นหลักก่อนเมื่อสำเร็จแล้วค่อยว่าในขั้นตอนต่อไป
โดยทั่วไปแล้วที่ผมได้เห็นๆกันมาผู้จัดการจากทั่วประเทศ สมัยนี้เน้นเพียงแต่ยอดขายเท่านั้นซึ่งน้อยคนนักที่จะคิดและวางแผนการทำงานให้ดีๆโดยส่วนมากแล้วไม่ได้คำนึงถึงบุคคลากรของท่านที่จะทำเลย หรือคิดน้อยมากกับเรื่องนี้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดกับบุคคลากรของท่านก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าจะให้ผมได้พูด ท่านคิดแต่เพียงยอดขายต่อเดือนต่อปี ที่ท่านจะได้มาเพียงเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ท่านจะเริ่มพัฒนาลูกน้องของท่านก่อนเลยซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานของยอดขาย หรือสิ่งที่เราคิดและทำ นี่เป็นการคิดแบบเอาผลลัพท์ที่จะได้เข้าว่าก่อน ลืมหันไปมองตัวการสำคัญที่จะทำให้ผลลัพท์นั้นเกิดขึ้นได้หรือไม่ได้จริงๆ คือ "ลูกน้อง " นั่นเอง ที่เราทำนั้นเรายังพัฒนาเขาได้ไม่เต็มที่นัก การรวมน้ำใจของลูกน้องให้เป็นหนึ่งมันเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้จัดการอย่างเราๆท่านๆมาก สิ่งนี้อยากจะบอกให้ผู้จัดการขายทุกๆท่านได้รู้และพยายามทำมันให้ได้มันจะนำพาความสำเร็จอย่างที่เราได้ตั้งใจไว้ในการทำงานทุกๆอย่างนะครับ หรืออีกอย่างหนึ่งที่ผู้จัดการฝ่ายขายมักคิดและกันมาก คือ "ผู้จัดการฝ่ายขาย แบบ บู๊ สุดติ่ง " ผมขออนุญาตที่สอบถามท่านอย่างนี้ว่า ที่ผู้จัดการที่ท่านว่าท่านชอบทำงานแบบ "บู๊ " มากกว่า ที่ว่าท่านชอบทำงานแบบบู๊ท่านทำอย่างไรบ้าง เอาตามที่ผมคิดและได้สัมผ้สมาก็แล้วกันนะครับ แบ่งได้ดังนี้
1. ออกบูธตามห้างดังๆ หรือตลาดร้อนรายวัน
2. ออกแจกใบปลิว ตามมีตามเกิดของลูกน้อง (ซึ่งไม่แน่ว่าลูกน้องนั้นจะแอบหลบหรือเปล่า)
3. ให้รถแห่ ออกประกาศเสียงตามสายไปเรื่อยๆ
4. ขายลูกค้าออนไลน์ Internet ลูกค้าเหล่านี้เป็นลูกค้าที่ช๊อปมา และราคานั้นแรงมากๆ ท่านยังจะขายได้อีกหรือ?
ฟังๆดูแล้วที่ว่าท่านทำงานแบบ " บู๊ " มันมีเพียงเท่านี้ ซึ่งผมมองดูแล้วว่าทุกยี่ห้อรถยนต์ หรือผู้จัดการทุกๆโชว์รูมก็ได้ทำเหมือนๆกันกับท่าน ท่านยังไม่ได้หาวิธีการทำให้แตกต่างออกไปเลย ยังย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังกลับไปเป็นเหมือน ยุคที่ผมยังเป็นผู้จัดการ เหมือนสมัยก่อนซึ่งไม่แตกต่างจากที่ผมได้ทำเลย ทั้งๆที่ท่านเองอยู่ในยุคที่มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมากกว่า มีแนวคิดที่ดีกว่า มีข้อมูลต่างๆที่พร้อมมากกว่าสมัยที่ผมเป็นผู้จัดการเสียอีก ท่านยังคิดทำได้เท่านี้ แต่สิ่งที่พูดนี้ไม่ได้ว่าอะไรผู้จัดการนะครับเพียงแต่ให้ทุกๆท่านได้มองอะไรที่กว้างไกลมากกว่านี้โดยต้นเหตุที่ท่านจะต้องแก้ไขคือ "ลูกน้อง" ของท่านทุกๆคนนะครับ (ผมเป็นกำลังใจให้กับผู้จัดการ และทีมงานขายทุกๆคนขอให้ตั้งใจทำมันให้เกิดให้ได้นะครับ.....ผมขอเป็นกำลังใจ)
"ถ้าบุคลากรไม่แข็งแรง ยาก!!ที่จะทำอะไรให้สำเร็จลงได้"
เรามาว่ากันต่อเลยนะครับเริ่มต้นกับศักราชใหม่ของปีต่อมา ด้วยการเริ่มต้นที่ผมมีทีมงานขายที่แข็งแรง ผมเริ่มต้นตั่งแต่ในวันแรกๆของเดือนเลยทันที โดยที่ผมได้กำหนดเป้าหมายประจำเดือนในแต่ละเดือน และประจำปีเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ช่วงต้นๆ และยังได้วางแผนการทำงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยมีแผนการทำงานที่ผ่านมาจากปีที่แล้วเป็นตัวอย่างในการทำเพียงแต่ปรับปรุงเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในเดือนหนึ่งๆผมและทีมงานขายของผมจะต้องปล่อยรถให้ได้เดือนละ 60 คัน โดยกำหนดแผนการทำงานของแต่ละคน เพื่อสนับสนุนแผนที่ได้วางเอาไว้ และจะต้องให้ทีมขายของผมได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้อีกด้วย เข้าใจทั้งวิธีการทำงานของตัวเอง และส่วนรวมที่จะต้องทำมันให้เกิดให้ได้ กิจกรรมต่างๆก็ได้ถูกวางไว้ในแผนการเตรียมงานก่อนล่วงหน้าเรียบร้อย และค่อนข้างที่จะชัดเจนที่จะให้มันเกิดขึ้นได้ในแต่ละเดือน
ผมวางแผนแม้กระทั่งการระบายรถที่คงค้างในบ้านได้อย่างไรจัดเตรียมการไว้ทั้งหมดทุกๆอย่าง ซึ่งในขณะนั้นเรามีรถที่คงค้างในบ้านประมาณร่วมๆ 100 กว่าคันเห็นจะได้ ซึ่งเป็น Stock รวมทั้ง 3 สาขา (ความคิดของผมมันเริ่มคิดแผนชั่วอีกแล้วครับ)ผมจะทำอย่างไรที่จะให้ลูกน้องเน้นงานขายรถที่มีอยู่ในบ้านก่อนใครเขา ทั้งๆที่สาขาอื่นไม่อยากจะขายกัน คิดเพียงแต่ว่าไม่มีลูกค้า,มันขายยากมาก (เสร็จผมแล้วครับ)
นั่งคิดหาวิธีที่จะให้ลูกน้องได้ขายรถที่มีอยู่อยู่โดยไม่ต้องรอรถที่ยังไม่มา หรือยังไม่มีในช่วงนั้นอย่างน้อยลูกน้องก็จะมีเงินได้จับจ่ายใช้สอยกัน
คิดจัดการวางแผนอยู่ได้ประมาณ 3 วัน กระดาษ A4 หมดไปเป็น 10-20 แผ่น เครื่องคิดเลขขอแทบจะพรุนตามนิ้วที่กดไป ผมได้แผนที่ต้องการทำเรียบร้อย ก็เริ่มปฏิบัติการในทันที โดยเริ่มทำความเข้าใจในเทคนิคการขายรถที่ค้างใน Stock กันก่อนเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้สอนลูกน้องมา เราจะหากลุ่มลูกค้ามาจากไหน แล้วเราจะดำเนินการกับลูกค้าเหล่านี้ยังไง เสร็จเรียบร้อยก็ให้ลูกน้องทั้งหมดออกจัดการตามแผนที่วางเอาไว้ทันที ไม่น่าเชื่อครับในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน สิ่งที่วางแผนเอาไว้ได้เห็นผลกลับมาเกินคาดโดยลูกน้องทั้ง 7 คน มียอดรับจองเข้ามา 68 คันสำหรับรถใน Stock ที่คงเหลืออยู่ สร้างความประหลาดใจให้กับเจ้านายเป็นอย่างมาก ซึ่งผลลัพท์ที่ทำมานี้ผมยกประโยชน์ให้กับลูกน้องของผมทั้งหมดที่เขาเข้าใจกับแผนการทำงานที่ได้คิด และวางเอาไว้ สามารถที่จะปล่อยรถออกไปได้ในเดือนนั้น 59 คัน จาก 68 ยอดที่จองมา (มันสุดยอดจริงๆ)
ท่านลองคิดดูนะครับการที่ผมได้ลูกน้องแบบนี้ และสอนเขาแบบนี้มันคุ้มค่ามากหรือไม่ เป็นสิ่งที่ทีมงานของเราทุกคนร่วมกันสร้างทำมาด้วยกัน ยังเกิดประโยชน์โดยรวมให้กับบริษัทได้มากอีกด้วย ชื่อเสียงต่างๆก็ตามผมมา (อันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงความสุขทางใจเล็กๆน้อยแค่นั้นสำหรับชื่อเสียง) ซึ่งในปีนั้นเองทีมงานขายของเราทำเป้าขายทั้งปีได้ 537 คัน เกินเป้าที่เราได้คาดการณ์เอาไว้เมื่อต้นปี (ตั้งเป้าเอาไว้ในปีนั้นเพียง 440 คันเท่านั้น) หลังจากการทำงานกันแบบนี้แล้ว ลูกน้องของผมที่คิดว่าจะหาเพิ่ม มันไม่จำเป็นต้องหาเพิ่มให้ยากเลยครับ เขามาหาผมเองโดยไม่ต้องออกแรงหาให้ยากเลย จากเิดม 7 คน กลายเป็น 15 คน ในเวลาอันสั้น (อย่าไปคิดเพียงเพื่อต้องการเพิ่มคนเลยครับ ในขณะที่มีอยู่ท่านยังไม่สามารถที่จะควบคุมดูแลคนของคุณที่มีอยู่ให้เขาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเลย)
ผมขึ้นทำเนียบของผู้จัดการฝ่ายขายดีเด่นในปีนั้นเอง ได้รับรางวัลจากบริษัทผู้ผลิต เช่น เข็มกลัดทองคำ เสื้อสูตรสามารถ,ประกาศณียบัตรต่างๆ,ไปท่องเที่ยวต่างประเทศอีกหลายต่อหลายประเทศมากมาย (ไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชาวนาคนหนึ่งจะมีโอกาสแบบนั้นกับเขาบ้าง) และอะไรอีกหลายๆอย่างตามมา ทางบริษัทที่ผมอยู่เองก็ได้มอบรางวัลสำหรับ " ผู้บริหารยอดเยี่ยม " ด้วยรางวัลต่างๆอีกมากมายเช่นกัน เป็นกำลังใจอันดีสำหรับการทำงาน แต่สำหรับตัวผมเองแล้วผมจะทำงานตำแหน่งนี้ประสบผลสำเร็จคนเดียวไม่ได้ถ้าหากว่าไม่มี "แขนและขา" ที่แข็งแรงทีมงานขายที่ดีๆอย่างนี้ ผมยกประโยชน์และคุณงานความดีนี้ให้กับทีมงานขาย และธุรการขายของผมทั้งหมดทุกๆคน
ผมเองไม่ได้ยินดีกับรางวัลที่ตามมามากเท่าไรนะครับ แต่สิ่งที่ผมได้มากกว่านั้นคือ " ทีมงานขาย " ที่ผมได้เฝ้าเพียรพยายามที่จะสร้างเขาขึ้นมาต่างหาก ที่มันเป็นความภาคภูมิใจมากกว่าสิ่งอื่นใดที่ได้มาทั้งหมด
เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ดีที่อยากจะพูดและเขียนเพื่อให้ผู้จัดการได้รับรู้ ไม่ใช่ผมจะเก่งอะไรมากมายขนาดนั้น แต่มันเป็นความโชคดี ในความคิดและวางแผนงานที่ดี และประกอบกับผมได้ลูกน้องที่ดีมีความเชื่อฟังในการบอกการสอน , มีความรักสามัคคีร่วมกันทำงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน , การจัดการกับสิ่งต่างๆที่ลงตัว , สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการคิดและการทำทุกๆอย่างมาประกอบกันอย่างลงตัวเพียงเท่านี้เอง
เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ดีที่อยากจะพูดและเขียนเพื่อให้ผู้จัดการได้รับรู้ ไม่ใช่ผมจะเก่งอะไรมากมายขนาดนั้น แต่มันเป็นความโชคดี ในความคิดและวางแผนงานที่ดี และประกอบกับผมได้ลูกน้องที่ดีมีความเชื่อฟังในการบอกการสอน , มีความรักสามัคคีร่วมกันทำงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน , การจัดการกับสิ่งต่างๆที่ลงตัว , สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการคิดและการทำทุกๆอย่างมาประกอบกันอย่างลงตัวเพียงเท่านี้เอง
เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รับฟัง แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ผมได้ทำนี้จะเป็นสิ่งที่ทุกๆคนจะยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติได้ทุกอย่างนะครับเพราะมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น และไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนตายตัว หรือเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้ทุกๆคนประสบความสำเร็จได้ เป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ผมได้ลงมือทำอย่างตั้งใจ
เป็นบทความๆหนึ่งที่ผมตั้งใจที่จะเขียนเพื่อเป็นหลักและแนวทางในด้านความคิด และหลักการทำงาน ขอให้ทุกๆคนที่ได้อ่านบทความนี้จงใช้การวิเคราะห์การทำเพื่อให้เข้ากับลักษณะการทำงานของแต่ละบุคคลเอานะครับ ผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับทุกคน และขอขอบคุณทุกคนที่ได้อ่าน และได้ติดตามผลงานทุกๆเรื่องที่ผ่านมา ความดีทุกๆอย่างที่ได้พยายามเขียนเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของผมนี้ ของส่งผลกลับไปยังทุกๆท่าน และผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด...........
Ta.............รักและห่วงเสมอ
ด้วยความปราถนาดีจาก
" โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "
สวัสดี
ในตอนหน้าผมจะพยายามเขียนเรื่องของตำแหน่งผู้จัดการสาขา หรือที่เรียกกันติดปากว่า "Branch Manager" ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ดีๆที่ผมได้สัมผัสมาอีกตำแหน่งหนึ่งให้ได้อ่านกันนะครับ
ในตอนหน้าผมจะพยายามเขียนเรื่องของตำแหน่งผู้จัดการสาขา หรือที่เรียกกันติดปากว่า "Branch Manager" ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ดีๆที่ผมได้สัมผัสมาอีกตำแหน่งหนึ่งให้ได้อ่านกันนะครับ
" ปัญหามีไว้แก้ไข เป้าหมายมีไว้พุ่งชน "
























