Thursday, September 7, 2017

"LEADERSHIP "ผู้จัดการฝ่ายขาย""


14 ตุลาคม 2559




LEADERSHIP


อีกหนึ่งหน้าที่ของความประทับใจของผมที่ได้สัมผัสมาเหมือนๆกันกับผู้จัดการฝ่ายขายทุกๆคนคือ


ตำแหน่ง "ผู้จัดการฝ่ายขาย "

วันนี้ก็อีกเช่นเคยที่จะเขียนเล่าเรื่องราวประสบการณ์ดีๆที่ผมได้มีโอกาสได้ทำได้สัมผัสกับตำแหน่ง "ผู้จัดการฝ่ายขาย " มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

มาเริ่มกันเลยนะครับกับหน้าที่ตรงนี้เวลานั้นก็ได้ผ่านมานานน่าจะประมาณ 16-17 ปีเห็นจะได้ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2539 อันนี้จำแม่น เป็นวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น " ผู้จัดการฝ่ายขาย " ของโชว์รูม เป็นวันที่มีความรู้สึกสองอย่างระคนกัน 
อย่างแรกคิดในใจ "เราจะทำหน้าที่" ตรงนี้ได้ดีหรือเปล่า 
อย่างที่สองก็คิดว่า "เราจะนำพาลูกน้องที่ต้องดูแล และยอดขายไปในทิศทางไหน? " 
เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจผม ณ เวลานั้น ทำให้จิตใจคิดฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยคิดไปต่างๆนาๆ (อันนี้เป็นเรื่องปกติของผมไปแล้วนะครับ คิดมาก และคิดอะไรไปทั่วมั่วกันไปหมด ประเภทคิดเล็กคิดน้อยคิดเองเอ่อเองอะไรประมาณนั้นมีคนเขาด่าผมมาแบบนี้ แต่ผมก็ขอบคุณคนที่ด่าผมมาอย่างมากนะครับ)

วันแรกของการงานในหน้าที่ใหม่ ยังปรับตัวกับหน้าที่ยังไม่ได้ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนอะไรหลังดี จับต้นชนปลายไม่ถูก ลูกค้าตัวเองที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนก่อนที่จะย้ายมา ผมจะเอายังไงจะดูแลลูกค้าต่อหรือจะทิ้งลูกค้าเหล่านั้นไป ก็เลยตัดสินใจที่จะต้องดูแลลูกค้าเก่าๆ และขายรถให้กับลูกค้าใหม่ที่ผมติดตามมาทั้งก่อนและหลังจะมา

ผมคิดที่จะขายเองดูแลลูกค้าเองตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ลูกน้องทั้งหมด 7 คนในเวลานั้น ได้แต่นั่งทำตาปริบๆดูสิ่งที่ผมทำ โดยผมไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่จับจ้องมองของลูกน้องผมเลย นั่นมันหมายความว่า "ผมเป็นผู้จัดการสันดานเซลส์ " ซึ่งในความคิดตอนนั้นเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมปล่อยรถคนเดียวต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 17-18 คัน ในช่วงที่นั่งในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย

ระยะเวลาผ่านไป 3-4 เดือนเห็นจะได้ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับโชว์รูมที่ผมอยู่ นั่งคิดวิตกกังวลในใจว่าเราจะทำแบบนี้ไม่ได้ ตัวเราอยู่ได้แต่เพียงคนเดียว แต่ลูกน้องเราจะอยู่ยังไง พอคิดได้อย่างนั้นก็หันกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทันที โดยเอาหลักการทำและวิธีคิดเมื่อครั้งสมัยที่เคยทำงานที่โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก (หวังว่าทุกๆคนคงจะจำกันได้) 

เริ่มจากเปลี่ยนความคิดของตัวเองเสียใหม่ "เราจะปกครองคน" ที่อยู่กับเราได้อย่างไร?,จะทำวิธีไหนที่จะสอนเขาให้เป็นเซลส์ที่ดีที่เก่งๆ ให้เขาดูแลตัวเขาเองได้ ดูแลลูกค้าของเขาได้อย่างไร? ให้เขามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการทำงานได้อย่างไร? ทุกๆปัญหาที่คิดเราจะต้องเป็นคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะปัญหาเหล่านี้มันอยู่ในมือเรา " บริษัทเขาจ้างเรามาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่จ้างเรามาเพื่อให้ดูแค่ปัญหา " ผมคิดได้อย่างนั้น ผม " เปลี่ยนมุมมองปัญหาที่เกิดให้เป็นโอกาสของผมในทันที " 

ผมเริ่มปัดฝุ่นวิธีคิดของผมแบบนี้เลย เอาหล่ะถ้าเราจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีแล้วเรามาเริ่มที่ตัวของ
 "ลูกน้อง" กันก่อนเป็นอันดับแรก เป็นความคิดที่ถูกสำหรับผมในเวลานั้น
ผมดูแลลูกน้องทั้งบอกทั้งสอนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า,วิธีการขายจะต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก,การแต่งกายควรจะต้องแต่งกายอย่างไร,การพูดเจรจากับลูกค้าควรจะเจรจาแบบไหน,การบริการลูกค้าทุกอย่าง แม้กระทั่งเวลาในการทำงานควรจะรับผิดชอบอะไรในการทำงานบ้าง,ความคิดก่อนที่จะมาทำงานในแต่ละวันเขาควรจะต้องคิดอะไรก่อนมาทำงาน  ผมสอนเขาจนหมด แต่ก็อย่างว่านะครับ ลูกน้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดีไม่เท่ากัน ต้องอาศัยความพยายามอย่างมากในการสอนเขาทั้งหมด มันยากลำบากมั๊ยที่ผมได้พูดมา

จนผมได้รู้แม้กระทั่งว่าลูกน้องแต่ละคนมีดี มีเสียแตกต่างกันอย่างไร จะแยกให้เขารับผิดชอบงานแบบไหนที่จะตรงตัวเขากับงานในแต่ละงานที่เราจะสั่งให้เขาทำ ผมสามารถแยกมันออกมาได้

ผมทำแบบนี้กับลูกน้อง 3-4 เดือน ลูกน้องลำบากผมต้องลำบากมากกว่า , ลูกน้องเหนื่อยผมต้องเหนื่อยมากกว่า , ลูกน้องทำงานหนักผมต้องทำงานหนักให้มากกว่า ผมมีความรักให้เขาตลอดมา เวลามีปัญหาผมคอยแก้ไขให้ทุกอย่างและสอนวิธีการแก้ปัญหาให้เขาเป็นเคสๆไป ให้ตัวเขาได้จดจำวิธีการแก้ปัญหานั้น ไม่เคยทิ้งลูกน้องไปไหนไม่ว่าปัญหาที่เกิดจะหนักหรือจะเบาอย่างไร (ผมเชื่อว่าผู้จัดการทุกท่านก็เป็นแบบนี้นะครับ) ผมก็ไม่เคยทิ้งเขาผมอยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดเวลาในการทำงาน หรือนอกเหนือเวลาทำงาน และสิ่งที่ผมทำก็เห็นผล ผมได้ใจลูกน้องทั้งหมดมาทุกคน (ได้ทีผมหล่ะครับทีนี้ผมจัดหนักเลย)

โชว์รูมซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นโชว์รูมที่ห่างไกลมากไม่มีใครที่อยากจะมาอยู่ที่โชว์รูมนี้ ต้นหญ้าสูงๆปิดบังทัศนียภาพหน้าโชว์รูมซึ่งดูเผินๆผ่านๆจะมองแทบไม่เห็นโชว์รูมนี้เลย และยอดขายก็ขายน้อยมากเมื่อก่อนยอดขายที่โชว์รูมนี้ขายกันได้ไม่ถึง 10 คันต่อเดือน มันเป็นอะไรที่ยากและท้าทายความสามารถของผมอีกแล้ว (มันมีแต่เรื่องที่ให้คิดตลอดเวลาเลยแต่ก็ดีนะครับมีอะไรให้ฝึกสมองของเราดี) ซึ่งเมื่อก่อนตอนเป็นเซลส์แมนผมทำงาน 32 วันในหนึ่งเดือน แต่หน้าที่ผู้จัดการผมทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 45 วันต่อเดือน อย่าถามถึงเวลาที่จะให้ผมจะได้พักเลยนะครับตอบได้เลยว่า "ไม่มี" แต่สุขใจอย่างมาก (คิดว่ามันคงไม่เหมือนกับผู้จัดการสมัยนี้ที่ต้องการหาแต่วันหยุดพักกันนะครับ)

ผมเริ่มปฏิบัติกับลูกน้องใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่พาลูกน้องดูแลโชว์รูมให้ดูสะอาดสะอ้านน่ามองมากยิ่งขึ้น ปัดกวาดเช็ดถูกันใหม่หมด จัดการตกแต่งปักธงราวให้ดูดีมีสีสรรมากขึ้นกว่าเดิม ทำอยู่อย่างนี้กับลูกน้องอยู่นานพอสมควรและทำควบคู่ไปกับการสอนงานขายเขาไปด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่จะทิ้งไปไม่ได้เลยสำหรับงานขาย ทำสองสามอย่างในเวลาเดียวกัน แต่อยู่ในขั้นตอนเดียวกันไม่ได้ข้ามขั้นตอนไหนเลยมันอยู่ในแผนงานที่ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก

เมื่อพูดถึงความลำบากยิ่งเวลาหน้าฝนๆตกหนักๆน้ำท่วมหน้าโชว์รูม อย่าให้ได้บอกเลยนะครับมันจะลำบากแค่ไหน ผมกับลูกน้องต้องแบกท่อพระยานาค (ท่อสูบน้ำเป็นเหล็กขนาดใหญ่) เดินเครื่องสูบน้ำกันเอง มันเหนื่อยแบบสุดๆเลย ไม่เป็นอันต้องขายรถกันเลยถ้าเวลาน้ำท่วม ใครจะกล้าเข้ามาซื้อรถกับโชว์รูมของผมกันหล่ะครับถ้าเราไม่ทำ

ผ่านช่วงระยะเวลาของการทำมาได้ประมาณ 6-7 เดือน ทุกๆอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทางของมันมากขึ้น ทั้งจิตใจลูกน้องที่อยู่กับผมเองมันแข็งแรงแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมมาก โชว์รูมก็พร้อมเต็ม 100% ผมเริ่มเดินเครื่องเต็มสูบอย่างเต็มที่เลยที่นี้ที่จะต้องนำพาลูกน้องขายอย่างไรให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก

ผมเริ่มคิดถึงเรื่องยอดขายก่อนเป็นอันดับต่อมา แต่ก่อนที่จะขายเราต้องมีทีมงานที่แข็งแรงเสียก่อน ผมสอนและแนะนำลูกน้องใหม่ทั้งหมด (แต่ก็สอนมาเรื่อยๆตั้งแต่ตอนแรกๆ) สอนถึงวิธีที่จะหาลูกค้ามาได้อย่างไร ที่จะทำให้ได้มาซึ่งลูกค้าที่จะต่อยอดเป็นยอดขายได้ และจะต้อง Keep ลูกค้าให้อยู่กับเราให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้อย่างไร โดยผมไม่ยอมที่จะให้ลูกน้องต้องอยู่เฉยๆในโชว์รูมอย่างเด็ดขาดมันเสียเวลาในการทำมาหากินอย่างสิ้นเชิง พยายามที่จะสอนให้ลูกน้องสร้างโอกาสในการขายรถของตัวเองทุกๆวินาที และทุกๆวันโดยมีผมเป็นคนคิดหาวิธีการเหล่านั้นให้กับเขา



ในทุกๆเช้าตอนประชุมกันผมจะถามปัญหาต่างๆที่ลูกน้องได้ไปเจอมาซึ่งแต่ละคนเจอมาไม่เหมือนกันของลูกค้าเอามาเล่าให้ฟังกันในที่ประชุมเพื่อวิเคราะห์แก้ปัญหา  ในส่วนตัวผมนั้นไม่เคยที่จะคิดเอาเฉพาะความคิดของตัวเองเป็นหลักใหญ่แต่จะคอยถามถึงวิธีการต่างๆจากลูกน้อง ปัญหาทั้งหมดจะถูกนำมาประมวลปัญหาและวิธีแก้ไขร่วมกัน สุดท้ายก็จะถูกประมวลปัญหา และแนวทางการแก้นั้นด้วยตัวของผมเองโดยการแยกคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน (ท่านคงจะเห็นได้นะครับว่าคนเป็นหางเสือเรือที่จะต้องกำหนดทิศทางของเรือนั้นจะต้องมีแนวคิดอย่างไร)

ในปีแรกของการเป็นผู้จัดการนั้นซึ่งมีเวลาในการทำงานเพียง 9 เดือน (เม.ย.-ธ.ค.) สำหรับหน้าที่ของผู้จัดการขายครั้งแรกในชีวิต มีทั้งสุขทั้งทุกข์ เราก็จะไปพร้อมๆกันกับทีมงานที่แข็งแรงของผมทุกคน เราสร้างกันมานานพอสมควรแล้วผมได้มีทีมงานที่แข็งแรงทั้งทางด้านสภาพจิตใจร่างกายและการทำงานสมดั่งใจที่ปราถนาตั้งใจทำให้เกิดได้ ผมได้ "ลูกน้องที่เป็นเหมือนแขนและขา" ของผมจริงๆ สรุปโดยรวมในปีแรกของการรับหน้าที่เรามียอดปล่อยรถทั้งสิ้น 243 คัน (ระยะเวลาเพียง 9 เดือน) จากโชว์รูมที่ไม่มีใครอยากจะมากัน เราเริ่มที่จะมีชื่อกับเขาแล้วเริ่มที่จะขึ้นทำเนียบอีกครั้งแล้วครับ เหมือนกับตอนที่ผมเป็นเซลส์แมน



ที่ผมพูดให้ท่านได้ฟังนี้ก็เป็นเพราะการที่ผมคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องผ่านกระบวนการทางความคิดของผมเสียก่อน คิดแบบเป็นขั้นเป็นตอนและไม่ก้าวข้ามการทำของแต่ละขั้นตอนไป ให้ความสำคัญกับขั้นตอนที่ทำอยู่เป็นหลักก่อนเมื่อสำเร็จแล้วค่อยว่าในขั้นตอนต่อไป 

โดยทั่วไปแล้วที่ผมได้เห็นๆกันมาผู้จัดการจากทั่วประเทศ สมัยนี้เน้นเพียงแต่ยอดขายเท่านั้นซึ่งน้อยคนนักที่จะคิดและวางแผนการทำงานให้ดีๆโดยส่วนมากแล้วไม่ได้คำนึงถึงบุคคลากรของท่านที่จะทำเลย หรือคิดน้อยมากกับเรื่องนี้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดกับบุคคลากรของท่านก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าจะให้ผมได้พูด ท่านคิดแต่เพียงยอดขายต่อเดือนต่อปี ที่ท่านจะได้มาเพียงเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ท่านจะเริ่มพัฒนาลูกน้องของท่านก่อนเลยซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานของยอดขาย หรือสิ่งที่เราคิดและทำ นี่เป็นการคิดแบบเอาผลลัพท์ที่จะได้เข้าว่าก่อน ลืมหันไปมองตัวการสำคัญที่จะทำให้ผลลัพท์นั้นเกิดขึ้นได้หรือไม่ได้จริงๆ คือ "ลูกน้อง " นั่นเอง ที่เราทำนั้นเรายังพัฒนาเขาได้ไม่เต็มที่นัก การรวมน้ำใจของลูกน้องให้เป็นหนึ่งมันเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้จัดการอย่างเราๆท่านๆมาก สิ่งนี้อยากจะบอกให้ผู้จัดการขายทุกๆท่านได้รู้และพยายามทำมันให้ได้มันจะนำพาความสำเร็จอย่างที่เราได้ตั้งใจไว้ในการทำงานทุกๆอย่างนะครับ  หรืออีกอย่างหนึ่งที่ผู้จัดการฝ่ายขายมักคิดและกันมาก คือ "ผู้จัดการฝ่ายขาย แบบ บู๊ สุดติ่ง "  ผมขออนุญาตที่สอบถามท่านอย่างนี้ว่า ที่ผู้จัดการที่ท่านว่าท่านชอบทำงานแบบ "บู๊ " มากกว่า ที่ว่าท่านชอบทำงานแบบบู๊ท่านทำอย่างไรบ้าง เอาตามที่ผมคิดและได้สัมผ้สมาก็แล้วกันนะครับ แบ่งได้ดังนี้

1. ออกบูธตามห้างดังๆ หรือตลาดร้อนรายวัน
2. ออกแจกใบปลิว ตามมีตามเกิดของลูกน้อง (ซึ่งไม่แน่ว่าลูกน้องนั้นจะแอบหลบหรือเปล่า)
3. ให้รถแห่ ออกประกาศเสียงตามสายไปเรื่อยๆ
4. ขายลูกค้าออนไลน์ Internet ลูกค้าเหล่านี้เป็นลูกค้าที่ช๊อปมา และราคานั้นแรงมากๆ ท่านยังจะขายได้อีกหรือ?

ฟังๆดูแล้วที่ว่าท่านทำงานแบบ " บู๊ " มันมีเพียงเท่านี้ ซึ่งผมมองดูแล้วว่าทุกยี่ห้อรถยนต์ หรือผู้จัดการทุกๆโชว์รูมก็ได้ทำเหมือนๆกันกับท่าน ท่านยังไม่ได้หาวิธีการทำให้แตกต่างออกไปเลย ยังย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังกลับไปเป็นเหมือน ยุคที่ผมยังเป็นผู้จัดการ เหมือนสมัยก่อนซึ่งไม่แตกต่างจากที่ผมได้ทำเลย ทั้งๆที่ท่านเองอยู่ในยุคที่มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมากกว่า มีแนวคิดที่ดีกว่า มีข้อมูลต่างๆที่พร้อมมากกว่าสมัยที่ผมเป็นผู้จัดการเสียอีก  ท่านยังคิดทำได้เท่านี้  แต่สิ่งที่พูดนี้ไม่ได้ว่าอะไรผู้จัดการนะครับเพียงแต่ให้ทุกๆท่านได้มองอะไรที่กว้างไกลมากกว่านี้โดยต้นเหตุที่ท่านจะต้องแก้ไขคือ "ลูกน้อง" ของท่านทุกๆคนนะครับ (ผมเป็นกำลังใจให้กับผู้จัดการ และทีมงานขายทุกๆคนขอให้ตั้งใจทำมันให้เกิดให้ได้นะครับ.....ผมขอเป็นกำลังใจ)

"ถ้าบุคลากรไม่แข็งแรง ยาก!!ที่จะทำอะไรให้สำเร็จลงได้"


เรามาว่ากันต่อเลยนะครับเริ่มต้นกับศักราชใหม่ของปีต่อมา ด้วยการเริ่มต้นที่ผมมีทีมงานขายที่แข็งแรง ผมเริ่มต้นตั่งแต่ในวันแรกๆของเดือนเลยทันที โดยที่ผมได้กำหนดเป้าหมายประจำเดือนในแต่ละเดือน และประจำปีเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ช่วงต้นๆ และยังได้วางแผนการทำงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยมีแผนการทำงานที่ผ่านมาจากปีที่แล้วเป็นตัวอย่างในการทำเพียงแต่ปรับปรุงเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในเดือนหนึ่งๆผมและทีมงานขายของผมจะต้องปล่อยรถให้ได้เดือนละ 60 คัน โดยกำหนดแผนการทำงานของแต่ละคน เพื่อสนับสนุนแผนที่ได้วางเอาไว้ และจะต้องให้ทีมขายของผมได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้อีกด้วย เข้าใจทั้งวิธีการทำงานของตัวเอง และส่วนรวมที่จะต้องทำมันให้เกิดให้ได้ กิจกรรมต่างๆก็ได้ถูกวางไว้ในแผนการเตรียมงานก่อนล่วงหน้าเรียบร้อย และค่อนข้างที่จะชัดเจนที่จะให้มันเกิดขึ้นได้ในแต่ละเดือน



ผมวางแผนแม้กระทั่งการระบายรถที่คงค้างในบ้านได้อย่างไรจัดเตรียมการไว้ทั้งหมดทุกๆอย่าง ซึ่งในขณะนั้นเรามีรถที่คงค้างในบ้านประมาณร่วมๆ 100 กว่าคันเห็นจะได้ ซึ่งเป็น Stock รวมทั้ง 3 สาขา (ความคิดของผมมันเริ่มคิดแผนชั่วอีกแล้วครับ)ผมจะทำอย่างไรที่จะให้ลูกน้องเน้นงานขายรถที่มีอยู่ในบ้านก่อนใครเขา ทั้งๆที่สาขาอื่นไม่อยากจะขายกัน คิดเพียงแต่ว่าไม่มีลูกค้า,มันขายยากมาก (เสร็จผมแล้วครับ) 
นั่งคิดหาวิธีที่จะให้ลูกน้องได้ขายรถที่มีอยู่อยู่โดยไม่ต้องรอรถที่ยังไม่มา หรือยังไม่มีในช่วงนั้นอย่างน้อยลูกน้องก็จะมีเงินได้จับจ่ายใช้สอยกัน




คิดจัดการวางแผนอยู่ได้ประมาณ 3 วัน กระดาษ A4 หมดไปเป็น 10-20 แผ่น เครื่องคิดเลขขอแทบจะพรุนตามนิ้วที่กดไป ผมได้แผนที่ต้องการทำเรียบร้อย ก็เริ่มปฏิบัติการในทันที โดยเริ่มทำความเข้าใจในเทคนิคการขายรถที่ค้างใน Stock กันก่อนเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆที่ได้สอนลูกน้องมา เราจะหากลุ่มลูกค้ามาจากไหน แล้วเราจะดำเนินการกับลูกค้าเหล่านี้ยังไง เสร็จเรียบร้อยก็ให้ลูกน้องทั้งหมดออกจัดการตามแผนที่วางเอาไว้ทันที ไม่น่าเชื่อครับในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน สิ่งที่วางแผนเอาไว้ได้เห็นผลกลับมาเกินคาดโดยลูกน้องทั้ง 7 คน มียอดรับจองเข้ามา 68 คันสำหรับรถใน Stock ที่คงเหลืออยู่ สร้างความประหลาดใจให้กับเจ้านายเป็นอย่างมาก ซึ่งผลลัพท์ที่ทำมานี้ผมยกประโยชน์ให้กับลูกน้องของผมทั้งหมดที่เขาเข้าใจกับแผนการทำงานที่ได้คิด และวางเอาไว้ สามารถที่จะปล่อยรถออกไปได้ในเดือนนั้น 59 คัน จาก 68 ยอดที่จองมา (มันสุดยอดจริงๆ)

ท่านลองคิดดูนะครับการที่ผมได้ลูกน้องแบบนี้ และสอนเขาแบบนี้มันคุ้มค่ามากหรือไม่ เป็นสิ่งที่ทีมงานของเราทุกคนร่วมกันสร้างทำมาด้วยกัน ยังเกิดประโยชน์โดยรวมให้กับบริษัทได้มากอีกด้วย ชื่อเสียงต่างๆก็ตามผมมา (อันที่จริงแล้วมันเป็นเพียงความสุขทางใจเล็กๆน้อยแค่นั้นสำหรับชื่อเสียง) ซึ่งในปีนั้นเองทีมงานขายของเราทำเป้าขายทั้งปีได้ 537 คัน เกินเป้าที่เราได้คาดการณ์เอาไว้เมื่อต้นปี (ตั้งเป้าเอาไว้ในปีนั้นเพียง 440 คันเท่านั้น) หลังจากการทำงานกันแบบนี้แล้ว ลูกน้องของผมที่คิดว่าจะหาเพิ่ม มันไม่จำเป็นต้องหาเพิ่มให้ยากเลยครับ เขามาหาผมเองโดยไม่ต้องออกแรงหาให้ยากเลย จากเิดม 7 คน กลายเป็น 15 คน ในเวลาอันสั้น (อย่าไปคิดเพียงเพื่อต้องการเพิ่มคนเลยครับ ในขณะที่มีอยู่ท่านยังไม่สามารถที่จะควบคุมดูแลคนของคุณที่มีอยู่ให้เขาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเลย)

ผมขึ้นทำเนียบของผู้จัดการฝ่ายขายดีเด่นในปีนั้นเอง ได้รับรางวัลจากบริษัทผู้ผลิต เช่น เข็มกลัดทองคำ เสื้อสูตรสามารถ,ประกาศณียบัตรต่างๆ,ไปท่องเที่ยวต่างประเทศอีกหลายต่อหลายประเทศมากมาย (ไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชาวนาคนหนึ่งจะมีโอกาสแบบนั้นกับเขาบ้าง) และอะไรอีกหลายๆอย่างตามมา ทางบริษัทที่ผมอยู่เองก็ได้มอบรางวัลสำหรับ " ผู้บริหารยอดเยี่ยม " ด้วยรางวัลต่างๆอีกมากมายเช่นกัน เป็นกำลังใจอันดีสำหรับการทำงาน แต่สำหรับตัวผมเองแล้วผมจะทำงานตำแหน่งนี้ประสบผลสำเร็จคนเดียวไม่ได้ถ้าหากว่าไม่มี "แขนและขา" ที่แข็งแรงทีมงานขายที่ดีๆอย่างนี้ ผมยกประโยชน์และคุณงานความดีนี้ให้กับทีมงานขาย และธุรการขายของผมทั้งหมดทุกๆคน 

ผมเองไม่ได้ยินดีกับรางวัลที่ตามมามากเท่าไรนะครับ แต่สิ่งที่ผมได้มากกว่านั้นคือ " ทีมงานขาย " ที่ผมได้เฝ้าเพียรพยายามที่จะสร้างเขาขึ้นมาต่างหาก ที่มันเป็นความภาคภูมิใจมากกว่าสิ่งอื่นใดที่ได้มาทั้งหมด

เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ดีที่อยากจะพูดและเขียนเพื่อให้ผู้จัดการได้รับรู้ ไม่ใช่ผมจะเก่งอะไรมากมายขนาดนั้น แต่มันเป็นความโชคดี ในความคิดและวางแผนงานที่ดี และประกอบกับผมได้ลูกน้องที่ดีมีความเชื่อฟังในการบอกการสอน , มีความรักสามัคคีร่วมกันทำงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน , การจัดการกับสิ่งต่างๆที่ลงตัว , สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการคิดและการทำทุกๆอย่างมาประกอบกันอย่างลงตัวเพียงเท่านี้เอง


เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รับฟัง แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ผมได้ทำนี้จะเป็นสิ่งที่ทุกๆคนจะยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติได้ทุกอย่างนะครับเพราะมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น และไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนตายตัว หรือเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้ทุกๆคนประสบความสำเร็จได้ เป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ผมได้ลงมือทำอย่างตั้งใจ 



เป็นบทความๆหนึ่งที่ผมตั้งใจที่จะเขียนเพื่อเป็นหลักและแนวทางในด้านความคิด และหลักการทำงาน ขอให้ทุกๆคนที่ได้อ่านบทความนี้จงใช้การวิเคราะห์การทำเพื่อให้เข้ากับลักษณะการทำงานของแต่ละบุคคลเอานะครับ ผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับทุกคน และขอขอบคุณทุกคนที่ได้อ่าน และได้ติดตามผลงานทุกๆเรื่องที่ผ่านมา ความดีทุกๆอย่างที่ได้พยายามเขียนเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของผมนี้ ของส่งผลกลับไปยังทุกๆท่าน และผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด...........




                                                                                                                                                                Ta.............รักและห่วงเสมอ



                   

                                                                                              ด้วยความปราถนาดีจาก


                                                                                             " โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "


                                                                                                         สวัสดี




ในตอนหน้าผมจะพยายามเขียนเรื่องของตำแหน่งผู้จัดการสาขา หรือที่เรียกกันติดปากว่า "Branch Manager" ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ดีๆที่ผมได้สัมผัสมาอีกตำแหน่งหนึ่งให้ได้อ่านกันนะครับ





 " ปัญหามีไว้แก้ไข เป้าหมายมีไว้พุ่งชน "






Wednesday, June 28, 2017

"ปรัชญาคน ป.4"






 "ปรัชญาคน ป.4 "



จากบทความตอนที่แล้วเรื่อง
มาทำความดีกัน ก่อนที่ประตูบานสุดท้ายจะเปิดและปิดลง” ผมได้เขียนถึงครอบครัวนึงที่ผมไปเจอขณะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด วันนี้ผมขออนุญาตเขียนเรื่องของครอบครัวนี้กันอีกสักนิดตอนแรกๆ อาจจะดูเป็นกฎแห่งกรรมไปนิดแต่ก็อยากให้อ่านให้จบก่อนนะครับ

แกเล่าเรื่องความเป็นมาเป็นไปในชีวิตของแกให้ผมได้ฟัง แกเกิดที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร การศึกษาจบเพียงชั้น ป.4 เท่านั้น แต่ก่อนสมัยหนุ่มๆอายุสักประมาณ 17-18 ปี แกยึดอาชีพทำงานอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ ทุกวันแกจะฆ่าวัว ฆ่าหมู โดยเฉลี่ยวันละ 2-3 ตัว ต่อวัน ทำอย่างนี้มาเป็นระยะเวลา 6 ปีเต็มๆ

วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันกับชีวิตของแกที่ทำให้เลิกฆ่าสัตว์ แกได้ล้มป่วยลงเป็นการป่วยโดยไม่รู้สาเหตุอะไรเลยต้องนอนพักรักษาตัวที่สุขศาลา (สมัยก่อนไม่มีสถานีอนามัย) ระยะเวลาเกือบปีที่ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น แกบอกกับผมว่าในคืนนึงที่แกนอนป่วยอยู่นั้น แกหลับไปและฝันว่ามีคนจะมาเอาชีวิตของแกไป เพราะแกก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าชีวิตสัตว์ไปมาก แต่ตัวแกเองไม่ยอมที่จะไปจนยื้อยุดฉุดกระชากกัน สุดท้ายแกไม่รู้จะทำอย่างไรดี แกเลยร้องขอชีวิตกับคนที่จะมาเอาชีวิตของแกไปว่า

ถ้าลูกขอชีวิตกลับคืนมาได้ ลูกจะหมั่นสร้างแต่คุณงามความดีอยู่ทุกเวลา ทำบุญกุศลเพื่ออุทิศผลบุญที่ลูกได้กระทำต่อสัตว์เหล่านั้น และคนรอบข้าง” 



เมื่อแกสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นช่วงก่อนรุ่งสางวันใหม่ แกรีบยกมือพนมขอบคุณคนที่จะมาเอาชีวิตแกไปและตั้งจิตอธิฐานในใจไว้ว่า "ลูกจะขอทำแต่คุณงามความดีตราบเท่าชีวิตนี้ที่ยังมีเหลืออยู่" นี่คือวินาทีที่ตัวแกรอดพ้นจากเงื้อมือของพญามัจจุราช มาได้ซึ่งน้อยคนนักที่จะพบเจอแบบแก แต่มันเป็นโอกาสที่ดีในการทำความดีเพื่อไถ่โทษแก่เหล่าบรรดาสัตว์ที่แกได้ฆ่าทำลายชีวิตเขาไป
 
ในเช้าวันใหม่นี้แกได้หายจากอาการป่วยเป็นปลิดทิ้งเหมือนปาฏิหารเกิดขึ้นกับชีวิตแกอีกครั้ง สร้างความงงง่วยให้กับหมอพยาบาลเป็นอย่างมาก เวลาป่วยก็ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ เวลาที่หายก็หายแบบไม่รู้สาเหตุเช่นกัน ต่างพากันงงกันไปหมดว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเป็นไปได้อย่างไร
แกมานั่งคิดว่า  “เวลาที่แกฆ่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะร้องขอต่อชีวิตกับแกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว " มันเป็นบาปกรรมของแกแท้ๆ
หลังออกจากสุขศาลากลับมาพักอยู่ที่บ้านของตัวเอง ในใจก็คิดที่จะกลับเข้าไปทำงานที่โรงฆ่าสัตว์อยู่เสมอ แต่พอคิดแบบนั้นทีไรก็เจ็บออดๆ แอดๆ อย่างนี้เป็นประจำ แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความกลัวกับสิ่งที่ตนได้รับปากกับคนที่จะมาเอาชีวิตแกไป ทำอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าจะกลับเข้าทำงานที่เดิมดี หรือเปลี่ยนอาชีพใหม่ไปเลยดีกว่า คิดอยู่นานเกือบเดือน แต่มันกลับมีอะไรบางอย่างมาดลจิตดลใจที่ทำให้ไม่ได้เข้าไปทำงานที่นั่นอีกเลย สุขภาพก็แข็งแรงกลับมาเป็นเหมือนเดิมจนน่าแปลกใจมาก

หลังจากนั้นอีกประมาณสองปีต่อมาแกได้พบรักกับหญิงสาวซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาจนได้ลูกเป็นพยานรักสองคน อยู่กินกันมาโดยแกกับภรรยายึดอาชีพรับจ้างทำไร่สัปะรด ทำสวน ได้ค่าแรงวันละ 250 บาทเท่านั้น กับค่าแรงเพียงเท่านี้ยังต้องเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆ ของแกอีก

แม้ว่าครอบครัวของแกมีรายได้เพียงวันละ 250 บาท เพียงแต่ขอให้ รู้จักการใช้จ่าย รู้จักการกินอยู่อย่างพอเพียงแล้ว และยังสามารถแบ่งปันส่วนหนึ่งเพื่อทำบุญใส่บาตรได้อีก แกยังสอนลูกๆ อีกอย่างหนึ่งว่า เงินทองเป็นสิ่งที่หายาก การที่เรามีข้าวกินทุกมื้อนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว จะไปสรรหาสิ่งของอะไรมาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเพื่อตัวเองอีกทำไม ผมดูแล้วแกไม่ใช่คนที่ตะหนี่ขี้เหนียวอะไรนะครับ แต่แกเป็นคนรู้จักใช้ รู้จักกินอย่างพอเพียงต่างหาก
แกจบเพียง ป.4 ทำงานหารายได้เท่านี้ก็ดีแล้วได้ทำงานที่ทำอยู่อย่างเต็มที่ มีความสุขกับการทำงาน” ของแกและทำให้ครอบครัวมีความสุขที่พอเพียงก็ดีมากแล้วสำหรับครอบครัวของแก

อย่างที่ผมได้เคยเขียนไว้ว่า การทำงานใดๆ ก็ตามถ้าหากเราทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถที่เรามีอยู่ สนุกกับงานที่เรารับผิดชอบแล้วมันก็มีความสุขกับการทำงาน งานต่างๆที่เราทำนั้นจะออกมาดีอย่างที่เราตั้งใจไว้”

และอีกสิ่งหนึ่งที่แกได้สอนผม คือเรื่องของความประหยัดรู้จักใช้สอยเงินทองอย่างมีระบบระเบียบ ไม่ใช้สอยเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น

แกไม่เคยตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตหรือความน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับตัวแกเอง” ให้ผมได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวในการสนทนากันในวันนั้น ในความคิดของผมเองคิดว่าแกเป็นคนที่  “ทรนง” หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ทั้งที่ผมดูแล้วตัวแกและลูกเมียไม่ใช่คนหยิ่งผยองจองหองอะไรเลย อยู่แบบเรียบง่าย มีแต่รอยยิ้มที่สดใสเท่านั้น บ้านที่มีเพียงผ้าใบทำเป็นหลังคา นั้นแต่ภายในมันสะอาดเรียบร้อยตามอัธภาพที่ครอบครัวแกอยู่

เมื่อถามแกว่าทำไมบ้านที่อยู่นี้ทำไมถึงสะอาดดูดีจังครับ แกตอบผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสและตอบผมด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับชี้นิ้วไปทางภรรยาคู่ชีวิตของแก แกพูดถึงศรีภรรยาอันเป็นที่รักของแกด้วยความภาคภูมิใจกับภรรยาอย่างมาก ยกย่องเทิดทูนเสมอ

แกเล่าให้ผมได้ฟังต่ออีกว่าที่แกอยู่แบบนี้ทุกวันนี้ได้เพราะ เราสร้างความสุขใจที่เรามีให้กันอยู่เสมอๆ ถึงแม้ว่าบ้านที่แกอยู่ในขณะนี้ จะเป็นเพียงผ้าใบที่ใช้คลุมเพื่อทำเป็นหลังคากันแดดกันฝนกันลมเพียงเท่านั้น แต่ในบ้านหลังนี้มันมี "ความรัก" ให้กันและกันทุกๆ เวลา และทุกๆ คน ถ้าเราตั้งใจจะสร้างมันแล้วเราจะต้องสร้างจากครอบครัวของเราเสียก่อน ปลูกฝังจิตใต้สำนึกจากคนในครอบครัวเราก่อนนี่หล่ะ

แกพูดกับผมอีกว่า ไม่เคยมีใครอยากที่จะรู้จักผมเลยแม้แต่นิดเดียว มองเห็นผมก็ทำเมินเฉยไม่สนใจอะไร แต่ผมเองไม่ได้ว่าอะไรพวกเขา ไม่ได้โกรธเคืองอะไรพวกเขา อาจเป็นไปได้ว่า ตัวเราไม่มีฐานะความเป็นอยู่ที่เทียบเท่ากับเขาเหล่านั้น ไม่มีอะไรที่น่าจะมองหรือน่าคบหาที่จะพูดคุยด้วย หรืออาจจะไม่มีผลประโยชน์ต่อกันนั้นก็เป็นได้” แต่สำหรับผมแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลย (แกพูดแบบสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวแกเองไม่มีผลกับการทำความดีของแกเลย แต่ก็ไม่ได้เห็นคนเหล่านั้นเป็นคนที่ผิดนะครับ) โอ้โห!!!!!นี่คิอสิ่งที่แกพูดออกมา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมามากต่อมากแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดของแกในวันนั้นถึงได้กินใจของผมเหลือเกิน

แกหันกลับมาถามผมว่า ทำไมถึงอยากจะรู้จักกับแก ผมตอบกลับไปว่า  “ผมไม่ได้คิดที่จะคบกับใครเพียงแต่รูปลักษณ์ฐานะภายนอกของคน” หรอกนะครับ ผมคบได้กับทุกคน ถ้าหากว่าผมปิดกั้นตัวเองแล้ว ผมก็ เปรียบเหมือนกับน้ำที่เต็มแก้วอยู่อย่างนั้น” มันไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้อะไรดีๆได้อีกเลย หลงทะนงตนเองว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้เก่งกว่าใครเขา ซึ่งมันก็เป็นได้เพียงแค่คนโง่ดีๆนี่เองครับ แกหัวเราะดังลั่นเลยครับ แล้วแกพูดออกมาคำเดียวว่า ก็จริงนะ”

พูดคุยกันมาหลายเรื่องมาก มีคำพูดหนึ่งที่ผมสะดุดคิดกับคำพูดของแกมาก แกพูดออกมาว่าคนเรานี้มันเหมือนกันทุกอย่าง แต่แตกต่างที่คนไม่เหมือนกัน” ฟังดูแล้วงงๆ นะครับ แปลให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน” นั่นเองครับ

ความหมายของแกที่อธิบายให้ผมฟังนั้นคือ คนเรานั้นเกิดมาจากที่เดียวกัน คือเกิดจากท้องของแม่เหมือนๆกันทุกๆคน” มีชีวิตครอบที่ถูกปลูกฝังแตกต่างกันไป บางครอบครัวรักลูกจนไม่ลืมหูลืมตา รักลูกไม่ถูกทาง หรือพ่อแม่รังแกฉัน” นั่นหล่ะครับ หรือบางครอบครัวต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทำมาหากินจนไม่มีเวลาให้กับลูกเลย ปล่อยปะละเลยกับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของหน้าที่พ่อแม่ทิ้งไป ลูกถูกจำกัดขอบเขตเพียงตัวคนเดียวลำพัง คิดและทำด้วยตัวคนเดียวตลอดเวลา และผลสุดท้ายกลายเป็นนิสัยส่วนตัวของเด็กไป โดยที่ไม่มีใครสอน หรือบอกลูกได้ว่า สิ่งไหนดี สิ่งไหนถูกต้อง สิ่งไหนควรที่จะทำสิ่งไหนไม่ควรที่จะทำไม่มีใครคอยบอกสอนเขา” กลับปล่อยให้ลูกต้องเผชิญปัญหาด้วยความคิดของเขาเอง ซึ่งสิ่งนี้คิดว่าเป็นความผิดของพ่อและแม่” ที่ทิ้งไปอย่างนี้ มันจึงเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมกลับมามากมาย ก่อให้เกิดอาชญากรรมต่างๆ ปัญหายาเสพติด ปัญหาท้องก่อนแต่ง ปัญหาเด็กตีกันวุ่นวายไปหมด สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ครอบครัวเราถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ด้วยฐานะเงินทอง หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ แต่เราจะไม่ยอมทิ้งให้ลูกๆ ของเราเป็นแบบนั้น ถึงแม้เราจะทำงานหนักกลับมาก็ตามหรือช่วงเวลาปิดเทอมผมก็จะพาลูกๆ ออกไปช่วยทำไร่อยู่เสมอโดยที่ไม่ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังอย่างแน่นอน สอนให้เขารู้จักช่วยตัวเองและอยู่ภายใต้การดูแลของเราอย่างใกล้ชิด เราเองก็จะต้องให้เวลาอันมีค่ากับเขาทุกๆ วันๆ ละ 4-5 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ (แกจัดสรรเวลาการดูแลได้ดีมากนะครับผมมองว่าอย่างนั้น)

ตอนเช้าๆ ก็จะพากันไปทำบุญใส่บาตรพระอยู่เสมอๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกของการทำความดีให้กับลูกๆ เพื่อสร้างเกราะกำบังปกป้องอันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆข้างของตัวเขาเองเมื่อในวันหนึ่งวันที่เขาเติบโตขึ้น เขาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สามารถที่จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และประเทศชาติที่ให้กำเนิดได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังของเขาและสร้างครอบครัวที่แข็งแรงของเขาเองได้

นี่เป็นบางช่วงบางตอนของการสนทนากับแก ผมเก็บเอาบางช่วงบางตอนที่สำคัญๆ มาเขียนให้ทุกคนได้รับรู้ไปกับผมนะครับ เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนของผมซึ่งได้มีโอกาสได้เจอกับครอบครัวนี้มันเป็นเวลาที่แสนดีมากๆ กับชีวิตของผมเอง  สำหรับครอบครัวคนที่จบเพียง ป.4  

ผมได้บทสรุปสั้นๆ ที่ว่า

คนดีที่แท้จริงหรือคนที่เข้าใจในการใช้ชีวิตที่แท้จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นบทสรุปจากการที่เขาจะจบการศึกษาสูงกว่าคนอื่น แต่มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกของคนต่างหาก อย่าได้มองคนอื่นเป็นคนต่ำต้อยน้อยค่ากว่าตัวเอง คนทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นคุณค่าตรงนั้นของเขาหรือไม่”


เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับบทความนี้ ผมคิดว่าเราทุกคนจะได้รับประโยชน์ในแง่ของความคิดที่ผมได้เขียนเล่าให้ท่านไปไม่มากก็น้อย สำหรับประสบการณ์ที่ผมได้เจอไม่มากก็น้อยนะครับ

ทั้งนี้ความคิดดีๆ ที่ทุกท่านได้รับไปหรือมีให้กับบทความนี้กระผมขอยกประโยชน์และคุณงามความดีทั้งหมดนี้ให้กับครอบครัวของแก ขอให้ครอบครัวของแกประสบกับความโชคดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงยึดมั่นในการทำความดีแบบนี้เอาไว้ตลอดไป กราบขอบพระคุณจากใจจริงของผู้เขียนครับ

ผมสัญญาว่าผมจะทำดีอย่างนี้ทุกๆวัน ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนมานี้ ผมได้เขียนบทความที่เป็นประโยชน์ให้กับทุกๆคนได้อ่าน ให้ได้มุมมองต่างๆ ก็จะเขียนให้ทุกคนได้อ่านต่อไป และสำหรับการสอนผมจะทำให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ผมจะทำความดีเพื่อคนที่ผมรักได้ภาคภูมิใจ และทำความดีอย่างนี้เพื่อในหลวงในพระบรมโกศฯ ตลอดไป......ผมสัญญา!!!!!



สุดท้ายนี้ผลในสิ่งที่ดีๆที่ผมได้เจอมากับตัวของผมเอง และได้เขียนบอกเล่าให้ทุกๆท่านได้ฟังได้ดู ผมขอยกคุณความดีทั้งหมดนี้ให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดเสมอ.......
ML....รักและห่วงใยเสมอ


               

                                                                                        ด้วยความปราถนาดีจาก


                       
                                                                                         
" โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "

               
                                                                                                 สวัสดี



ขออนุญาตที่จะไม่นำชื่อจริงมาลงในงานเขียนชิ้นนี้นะครับ
สถานที่พักผ่อนในวันที่สนทนากับครอบครัวของพี่เขา ต้องขอบคุณสถานที่พักผ่อนมากนะครับ ขออนุญาตที่จะนำมาลงเพื่อประกอบงานเขียนชิ้นนี้ ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงเพื่อหวังผลต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้นครับ


Monday, June 26, 2017

" หนังกำพร้า # 2 "


13/6/2560

" หนังกำพร้า # 2 "


"หากย้อนเวลาได้" ทุกคนคงไม่อาจปฏิเสธที่อยากกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมาด้วยกันทั้งนั้น   แต่ในโลกของความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ทำได้แค่เพียงแค่ว่า "จะทำชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดได้อย่างไร" ดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ 
      
      "ถ้าหากเราจมอยู่กับอดีตวันพรุ่งนี้จะมีอนาคตได้เช่นไร" 


ทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ถูกเก็บงำปิดบังซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของผู้หญิงคนนี้ เจ็บปวดรวดร้าวกับปมชีวิตที่เกิดขึ้น หากแต่ทุกวันนี้อยู่กับความเป็นจริงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบทบาทใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว นั่นคือหน้าที่ของความเป็น "แม่" คือทำเพื่อ "ลูก"




ลูกที่ต้องดูแลถึง 2 คน พ่อที่กำลังป่วย,น้องที่ติดคุกเพราะคดียาเสพติด ทั้งหมดนี้รวมๆที่ต้องรับผิดชอบดูแลถึง 5 ชีวิตด้วยกัน นับว่าเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะรับมันได้  บางคนไม่อาจยอมรับมันได้ แต่สำหรับเธอผู้นี้ต้องอดทน ยอมรับ และต่อสู้กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต  คงอยู่ได้เพราะได้รับกำลังใจอันล้นเปี่ยมอยู่เสมอ มองเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมี          " สติ " ทำให้ชีวิตของเธออยู่ได้ด้วยกำลังใจจากคนภายในครอบครัวที่มีให้อย่างเปี่ยมล้น

หลายเรื่องราวที่ผู้เขียนได้เจอมากับตัวเอง ซึ่งได้รับฟังเรื่องราวจากผู้คนที่รู้จักใกล้ชิด และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องคนหนึ่ง ซึ่งน้องคนนี้เองไปรับผมที่สนามบินเมื่อครั้งที่ออกตรวจโซนภาคเหนือ ในครั้งแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ว่าเรื่องราวในลักษณะแบบนี้จะเกิดขึ้นกับน้องจนกระทั่งได้นั่งทานข้าวกัน น้องผู้หญิงก็มาพร้อมกับเด็กสองคน กำลังน่ารักซุกซนตามประสาเด็กๆ ผมเองได้แต่เก็บความฉงนสงสัยเอาไว้คนเดียว ว่าเด็กทั้งสองคนนี้ทำไมรูปร่างหน้าตาไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกันเลยแม้แต่นิดเดียว

ก็ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นอย่างผมนั่นหล่ะครับที่มันอดไม่ได้ที่จะถาม มันเป็นนิสัยส่วนตัวไปเสียแล้วที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านชาวช่องเขาไปทั่ว จนได้เรื่องได้ราวมาเขียนให้ทุกๆคนได้อ่านได้เตือนสติกันครับ เอ้ามาว่ากันต่อเลย....................


พอมารู้อีกทีก็ร้องอุทานคำสบทออกมาเบาๆว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้คล้ายๆกันกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งก่อนในบทความเรื่อง " หนังกำพร้า#1 " ที่เขียนให้ทุกๆท่านได้อ่าน แต่เรื่องราวนี้รุนแรงกว่าที่ได้เขียนขึ้นหลายเท่านัก เพราะมีดวงใจน้อยๆถึง 2 ดวงเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักของเขาทั้งสอง  มันจึงเป็นเรื่องราวที่จะเขียนเพื่อเตือนสติของใครหลายๆคนที่ได้อ่านบทความนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ


ด้วยความมักมากของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อกัน เห็นหญิงอื่นดีกว่า ก้าวเท้าเดินออกจากบ้านไป โดยไม่เคยเหลียวแลชีวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิดขึ้น ปล่อยทิ้งปัญหาเอาไว้ให้เป็นภาระของหญิงสาวแต่เพียงผู้เดียว จนแล้วจนรอดก็ไม่คิดที่จะหวนหลังกลับ  กลับกลายเป็นว่าจะต้องเพิ่มปากท้องมาอีกหนึ่งชีวิตที่จะต้องเลี้ยงดู

บทสุดท้ายของการใช้ชีวิตร่วมก็ต้องจบลงด้วยการแยกทางกันไปโดยปริยาย ทิ้งความขมขื่นเอาไว้กับหญิงสาวที่ต้องดูแลลูกน้อยๆ และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของเธอไปอีกนาน

เวลาผ่านไปอีก 3 ปี เห็นจะได้ ด้วยความที่เธอยังไม่เข็ดกับความรัก ยังคงเฝ้าคอยหาคนที่จะเข้ามาดูแลชีวิตของเธอและลูกที่เกิดจากผู้ชายคนแรก และแล้วเธอก็ได้พบรักใหม่ซึ่งเกิดจากความใกล้ชิดสนิทสนมเพราะทำงานอยู่ที่เดียวกัน เธอมอบหัวใจให้กับชายผู้นี้ หวังว่าจะฝากชีวิตไว้กับเขา คิดแต่เพียงว่าจะเป็นคนดีสำหรับเธอและลูก  หยุดความรักเอาไว้ที่เธอเพียงคนเดียว ต่างคนก็ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน นี่หรือที่เขาเรียกกันว่า " ความรักมักทำให้คนตาบอด " ด้วยกันทุกคน

หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งฝ่ายชายเข้าใจผิดคิดไปว่าฝ่ายหญิงนั้นปันใจให้กับชายอื่น โดยที่เขานั้นคิดเองเออเองเหมาสรุปเอาแต่ผู้เดียวโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลของเธอแม้แต่น้อย  ถึงขั้นทะเลาะกันอย่างรุนแรง บทสรุปสุดท้ายก็ต้องเลิกลาจากกันไป แต่ในขณะนั้นหนึ่งชีวิตที่กำลังก่อกำเนิดเกิดขึ้นโดยที่เธอ และคนรักไม่รู้ตัวมาก่อน และเริ่มเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ เธอถึงได้รู้ว่ามีดวงใจน้อยๆได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกดวงแล้ว  (ในความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าผู้ชายนั้นถือว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนฝ่ายหญิงก็ถือว่าความรักนั้นสำคัญมากกว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเช่นเดียวกันจึงทำให้เกิดความเห็นที่ต่างกันออกไป) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปได้ต้องก้มหน้ารับกับมันอย่างเต็มใจ

เธอตัดสินใจบอกเรื่องราวนี้กับคนที่เธอรักว่าเธอนั้นได้  "ตั้งท้อง"  หวังว่าจะได้รับการดูแล หรือคำพูดปลอบใจที่ดีๆกลับมาบ้าง อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจในการเลี้ยงดูลูกน้อยที่กำลังจะลืมตามาดูโลกใบนี้ แต่แทนที่ชายที่รักจะยินดีกับชีวิตใหม่ที่เป็นพยานรักของคนสองคน คำที่เธอได้ยินกลับตรงกันข้ามซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้ยินได้ฟังจากปากของคนรักเลย

 ชายคนรักบอกเธอออกไปว่า ให้เธอนั้นไปเอาเด็ก "ออก" เพื่อไม่ให้เป็นภาระในการเลี้ยงดู ซึ่งคำพูดคำพูดนี้เปรียบเหมือนเอามีดปลายแหลมทิ่มแทงที่กลางหัวใจเธอ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวคงไม่ต้องพูดถึงว่าจะเจ็บปวดเพียงไร  เธอเสียใจอย่างมากผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดที่คนรักบอกให้เธอทำอย่างนั้น ท่านลองคิดดูว่าเธอคนนี้จะเจ็บปวดรวดร้าวมากขนาดไหน (ผู้เขียนเองไม่กล้าที่จะประเมินความเจ็บปวดรวดร้าวที่เธอได้รับมาว่ามันจะมากเพียงไรนั้นผู้เขียนไม่กล้า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!)


แต่ด้วยความที่เธอเข้มแข็ง พยายามที่จะปกปิดเรื่องราวอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องการที่จะให้ใครมารับรู้เกี่ยวกับชีวิตรักของเธอมากนัก ประกอบกับหน้าที่การงาน และสถานะภาพทางสังคม แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดเพราะเธอนั้นไม่เชื่อคำทัดทานของผู้ใหญ่ ทำไปเพราะหัวใจเรียกร้องให้ทำโดยขาดสติยับยั้งชั่งใจ  จนทำให้เกิดบทเรียนที่เลวร้ายในลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนได้ เป็นบทเรียนที่สอนเธออีกแล้ว........นี่หรือชีวิต!!!!!!!!....................................(ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่า "ต่างคนก็ต่างมีเหตุและผล ต่างที่มาและก็ต่างที่ไป แต่เหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือความรับผิดชอบ" ที่พึงมีให้แก่กันและกัน)

จวบจนวันเวลาได้ผ่านไปท้องของเธอก็โตขึ้นเรื่อยๆไม่สามารถที่จะปกปิดคนรอบข้างได้อีก ห้วงของเวลานั้นอารมณ์ความรู้สึกฉุนเฉียวของคนท้องนั้นมันหนักขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าเวลาที่เธอนั้นเดินทางไปฝากครรภ์เธอจะเห็นภาพที่สามีพาภรรยาไปพบแพทย์ต่างดูแลประคับประครองกันมันช่างเป็นภาพปาดใจเสียกระไร  น้ำตาเธอนั้นก็ไหลออกมาในทันใด

แต่เธอก็พยายามยับยั้งอารมณ์ความรู้สึกนั้นเอาไว้ เพราะด้วยตระหนักคิดได้ว่าสิ่งทีเกิดขึ้นมันเกิดจากความผิดพลาดของตัวเธอเอง และเธอเองจะต้องแก้ไขทำมันให้ถูกต้องถึงแม้ต้องเผชิญกับโลกของความเป็นจริง ที่จะต้องอุ้มท้องไปไหนมาไหนคนเดียว คิดและทำมันเพียงลำพัง  เธอต่อสู้ฟันฝ่ากับมรสุมชีวิตมาได้ด้วยกำลังใจจากพ่อและลูกๆของเธอ 

"ไม่มีพ่อความรักของแม่จะทดแทนทุกอย่าง"  เป็นที่น่าชื่นชมอย่างมากสำหรับความคิดอย่างนี้ ผมเองในฐานะผู้เขียนยกย่องกับความคิดของเธอแบบนี้จริงๆ ซึ่งสังคมเองก็น่าจะให้อภัยเธอในฐานะที่เธอ "เป็นแม่" ไม่ยอมที่จะทำ "ร้ายเลือดเนื้อเชื้อไข" รักษาดวงใจน้อยๆนี้เอาไว้

"ความทุกข์ไม่เคยทำให้ใครตาย แต่ความทุกข์นั้นกลับทำให้เรายิ่งเข้มแข็งอีกครั้ง"

เป็นอีกเรื่องราวๆหนึ่งที่ผู้เขียนได้เจอและได้รับการถ่ายทอดมาโดยตรง เป็นมุมมองๆหนึ่งที่จะเตือนสติของใครหลายๆคนได้ ให้รู้จักการยับยั้งชั่งใจตัวเองก่อนที่จะทำ เพราะทำแล้วเกิดความผิดพลาดเสียหายก็จะอยู่ที่ตัวผู้จะทำเอง และผลเสียนั้นกลับตกอยู่ที่ตัวเด็ก ดังนั้นการที่เราจะคิดและทำอะไรลงไปขอให้ได้ใช้สติคิดก่อนที่จะทำเสมอ อย่าใช้อารมณ์ในการคิดและทำมันโดยเด็ดขาด มันมักจะเกิดผลเสียอย่างมาก

สุดท้ายสิ่งหนึ่งที่บทความบทนี้ทำให้ผู้ใดที่ได้อ่านเกิดได้สติยั้งแต่สิ่งหนึ่งที่น่าคิดต่อจากนี้ เด็กต้องโตขึ้นทุกวันมีสังคมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยทั้งสองคนนี้จะมีที่ยืนในสังคมนี้หรือไม่ เด็กจะรับแรงกดดันจากสังคมภายนอกได้มากน้อยขนาดไหน วิถีชีวิตของเขาทั้งสองคนจะดำเนินไปในทิศทางใด เรื่องนี้ผู้เขียนอยากจะฝากเอาไว้กับคนที่เป็นแม่และสิ่งแวดล้อมของเด็กได้อยู่อาศัยเป็นตัวบ่งชี้หรือเป็นตัวกำหนดได้อย่างดีเกี่ยวกับชีวิตดวงน้อยๆที่จะต้องดำเนินต่อไป เพราะวันหนึ่งข้างหน้าเด็กจะเติบโตอย่างเข้มแข็ง พร้อมที่จะยืนหยัดในสังคมนี้ได้ด้วยชีวิตของเขาอย่างกล้าหาญ และสร้างสิ่งที่ดีๆให้เกิดในสังคมนี้ได้ 

คลื่นมรสุมชีวิตมันได้ผ่านพ้นไปแล้วแต่ชีวิตยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และนี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเราทุกๆคนนั้นทราบดี แต่วันสิ้นสุดไม่มีใครตอบได้แม้กระทั่งตัวผู้เขียนเองหรือผู้อ่านก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำได้เลยเพราะชีวิตของเด็กน้อยเพิ่งเริ่มต้นเดินทางเท่านั้น อนาคตยังอีกไกลมาก

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างมากว่า หากครอบครัวต่างมอบความรักความอบอุ่น และความเอาใจใส่กับเด็กทั้งสองนี้แล้วมันจะกลับกลายมาเป็นภูมิคุ้มกันอันดีให้กับตัวเด็กได้ สามารถที่จะทำให้เด็กอยู่และสู้กับสังคมภายนอกที่ต้องเจอ ตัวแม่เองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีๆให้กับลูกๆ ขอให้เอาประสบการณ์ของตัวเองที่ผ่านมันมาเป็นตัวที่คอยสั่งสอน และยึดถือคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้การอบรมสั่งสอนลูกๆสั่งสอนให้เขาไปในทิศทางที่ดีๆ อบรมเขาเพื่อจะได้เติบใหญ่เป็นคนที่ดีในสังคมนี้ให้ได้ สามารถที่จะสร้างครอบครัวของตนเองได้อย่างมั่นคงแข็งแรงต่อไปในอนาคต

บยั้งชั่งใจ ได้หวนกลับมาคิดก่อนที่จะทำกับมัน สิ่งที่ดีๆที่เกิดขึ้นจากบทความนี้ผู้เขียนไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้ขอส่งผ่านไปยังผู้หญิงต้นเรื่องๆนี้เลยครับ สิ่งใดที่เธอผู้นี้ได้ทำก็ขอให้ประสบความสำเร็จในทุกๆอย่าง สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อที่จะได้ดูแลพ่อบังเกิดเกล้า และลูกๆของเธอผู้นี้ได้




                                                                                                    ด้วยความปรารถนาดีจาก


                                                                                                "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                                                                                                                สวัสดี


www.โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง.com

FB: songrit songrit

Line ID : taaoo429

พบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ

Saturday, June 10, 2017

"หนังกำพร้า"




11/6/2560
0:38 น.



" หนังกำพร้า "


ด้วยเวลาที่มีอย่างจำกัด ในช่วงเวลานี้เวลาที่ทุกๆคนนั้นได้หลับไหลพักผ่อนกายากัน แต่สำหรับผมนั้นกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเกิดอาการที่นอนไม่หลับตาค้างตามประสาคนที่มีอายุอานามมากพอควร นึกถึงเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับสาวน้อยคนหนึ่งขึ้นมาทันใด เมื่อครั้งเรื่องราวดังกล่าวผ่านมาแล้วเป็นเวลา 1 ปีเศษๆเห็นจะได้ และพูดคุยกับลูกศิษย์คนนี้ถึงเรื่องราวของเธอเกี่ยวกับเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้นนั่นคือเรื่องของ "ความรัก" ที่มันไม่ได้เป็นไปอย่างใจที่คิดเอาไว้

วันเวลาที่แสนนานที่ผ่านมาในชีวิตรักของสาวน้อยนั้นเต็มไปด้วยความราบรื่น   และดีเสมอมาโดยตลอด ต่างคนต่างเติมเต็มความรักที่มีให้กันตลอดมา ไม่ได้มีเรื่องราวที่ให้ขุ่นข้องหมองใจวิตกกังวลอะไรเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่งผ่านไป เธอได้มองเห็นความผิดปกติของแฟนหนุ่มเข้า เป็นความผิดปกติที่เธอนั้นไม่อยากที่จะให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยกับชีวิตรักของเธอ

จับได้ไล่ทันความคิด และการกระทำของแฟนหนุ่มของตัวเองที่พยายามปลีกตัวออกห่างและท้ายที่สุดก็ทิ้งเธอไปมีความรักใหม่จนได้ จนแล้วจนรอดได้ทิ้งร่องรอยบาดแผลลึกในจิตใจ และความรู้สึกของเธอคนนี้ จมติดอยู่กับห้วงของวันเวลาที่เลวร้าย และภาพอดีตที่ยังไม่เลือนไปจากความทรงจำ  เปรียบเสมือนหนังกำพร้าที่ยึดติดแต่ต่อจากนี้ไปก็จะหลุดร่วงหายไปจากร่างกาย แต่สาวน้อยผู้นี้ยังจมติดคิดว่าหนังกำพร้ายังคงติดแน่นอยู่มิได้หายไป และยังอยากที่จะรักษาผิวหนังกำพร้านี้เอาไว้ ไม่ยอมที่จะให้มันหลุดล่วงไปเพราะตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะทำใจได้

จนกระทั่งวันหนึ่งผู้เขียน และอาจารย์ของสาวน้อยผู้นี้ ได้รับฟังเรื่องราวจากปากของเธอในขณะที่เธอยังคงติดกับหนังกำพร้าอยู่ เพราะความที่เธอนั้นไว้เนื้อเชื่อใจที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมได้รับฟัง ซึ่งไม่มีคนที่เธอไว้เนื้อเชื่อใจอีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้เล่าให้ผมฟังนั้นมันเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ กับเรื่องราวที่ทำให้ "หัวใจของหญิงสาวผู้นี้แตกสลายไปเพราะความรัก" ซึ่งในความเป็นจริงแล้วใครก็ตามที่ได้ฟังอย่างผมก็ต้องรู้สึกไปตามๆกันคือ "ช่างน่าเห็นใจ" เธอจริงๆ

ถึงแม้ว่า "หนังกำพร้า" นั้นได้หลุดพ้นจากเธอไปแล้ว ลองคิดดูกันนะครับว่าความทรมานนั้นเจ็บปวดรวดร้าวมากขนาดไหน สำหรับตัวผู้เขียนเองไม่สามารถที่จะประเมินความเจ็บปวดเหล่านี้ได้เช่นกัน เพราะคงจะเจ็บปวดมากๆ หรือแม้บางคนอาจจะทำร้ายร่างกายตัวเองเลยก็เป็นได้นะครับ เพราะพิษรักนี่เองที่ทำให้เธอเป็นอย่างนั้น

เล่าไปน้ำตาของความเสียใจก็หลั่งออกมาอย่างไม่ขาดสายต่อหน้าต่อตาของผู้เขียน ซึ่งมองดูอากัปกิริยาของเธออยู่แบบนิ่งๆอย่างตั้งอกตั้งใจฟังอยู่แบบห่างๆทั้งๆที่ได้รับฟังเรื่องราวเหล่านี้มามากต่อมากแล้ว ที่เธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ขมขื่นออกมาให้ผมได้ฟัง (มันก็เหมือนการที่ได้ระบายอะไรที่อยู่ในใจออกมาเพื่อไม่ให้มันแน่นในอกอยู่อย่างนั้น) ผมเองก็ต้องรับฟังทั้งด้วยหน้าที่ของการเป็นอาจารย์ และเป็นหน้าที่ที่ปรึกษาไปโดยปริยาย แต่ด้วยความเต็มใจนะครับ

พรั่งพรูเรื่องราวออกมาพร้อมกับน้ำตาของความขมขื่นอารมณ์จมดิ่งอยู่กับความผิดหวัง สักระยะหนึ่งเธอก็นิ่งเงียบเหมือนกลับได้สติขึ้นมา แล้วหันมาถามผมว่า "อาจารย์เคยเจอเรื่องราวแบบนี้เหมือนหนูมั๊ยค๊ะ" โอ้!!!!!!!!!!!!! เหมือนฟ้าฝ่าลงกลางใจผมเลย ถามใครไม่ถามดันมาถามผมซะงั้น ผมเองก็ต้องเคยเจอ และผ่านมาสิครับถึงได้รับรู้อาการแบบนี้ได้อย่างเข้าอกเข้าใจ แต่ก็ต้องชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของเธออย่างมาก หลังจากที่ผมได้ให้กำลังใจ ปรอบประโลมเธอแล้ว พร้อมให้การแนะนำไปด้วย ว่าการทำตัวเพื่อ "เปลี่ยนหนังกำพร้า" ออกไปแล้วพยายามที่จะปรับเปลี่ยนสร้าง "หนังกำพร้าที่แข็งแรงมั่นคง" ให้กับตัวเองเสียใหม่

รวบรวมกำลังกาย กำลังใจที่เหลืออยู่ในขณะนั้นพยุงร่างกาย และสภาพจิตใจที่อ่อนแอ หมดเรี่ยวแรงให้กลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ซึ่งผมเองก็ถือว่าจิตใจของ "สาวน้อยผู้นี้" นั้นเด็ดขาดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญอย่ามาก ลุกขึ้นมาทำตัวใหม่ ปฏิวัติร่ายกายและจิตใจใหม่เพื่อให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่คำนึงถึงอดีต และอนาคตที่กำลังจะเยื้องย่างเข้ามา สลัดร่องรอยความเจ็บปวดออกไป นี่สิครับถึงจะได้ขึ้นชื่อว่า "ความเข้มแข็ง"


งามพร้อมทั้งทางด้านจิตใจ (ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเธอเองก็รูปร่างหน้าตาสวยในความคิดของผมเองนะครับ) ไม่ใช่การแต่งแต้มขัดผิว อบซาวน่า หรือฉีดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายเพื่อที่จะให้ผิวขาวใส หน้าตาเรียวงาม แต่สาวน้อยของผมผู้นี้ "เธอนั้นงาม งามพร้อมทั้งนอกและในจริงๆ" มันเป็นอะไรที่ผมจะได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้อดที่จะยิ้ม หรือแสดงภาคภูมิใจกับเธอไม่ได้ นี่สิถึงจะเป็นศิษย์กับอาจารย์ ที่บอกและแนะนำกันได้ในทุกๆเรื่อง (ขออนุญาตยอตัวเองซะหน่อย) ทำตัวเองให้มีคุณค่า และทำตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ควรจะได้รับความรักใหม่ ไม่ใช่ทำตัวเองให้ตกลงสู่ห้วงเหวลึกดำไปเรื่อยๆ เช่น เกิดการเกลียดกันหลอกล่อต่อเอาทรัพย์สินของคนอื่นเพื่อแลกกับสิ่งที่ตัวเองจะเสียไป คือเรือนร่างก็จะเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมต่อภพต่อชาติกันไปเรื่อยๆไม่มีวันจบวันสิ้นนะครับ (อย่าทำโดยเด็ดขาด)


นี่เป็นเรื่องราวย่อๆของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ผมเองคิดว่าเรื่องราวของเธอนั้นจะสามารถที่จะเตือนสติสำหรับคนที่ยังไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองลุกขึ้นมาได้ และจะเป็นกำลังใจในการต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคที่ถาโถมสาดซัด คลื่นลมแรงที่จะประดังประเดเข้ามาอีกหลายระลอกในช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน หลังจากนี้ไปสิ่งที่ผมจะได้เห็นจากสาวน้อยผู้นี้จะต้องกลับไปเป็นสิ่งที่สดใสร่าเริงอีกเหมือนเดิมแน่ๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอนผมเองภาวนาให้เกิดอย่างนั้นจริงๆเอาใจช่วยเธออย่างเต็มที่


นี่ก็เป็นเรื่องราวที่มีโอกาสได้พูดคุย และประสบกับมันมา คิดว่าคงจะช่วยเตือนสติสำหรับทุกๆคนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ หวังว่าสิ่งต่างๆที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นนี้คงจะทำให้ผู้ที่กำลังจะลุกจากห้วงของความทุกข์ระทมให้ลุกขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นยืนหยัดต่อสู้กับมันให้ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความปราถนาดีอย่างที่ไม่ต้องหาค่าตอบแทนใดๆกลับมา เพราะผมเองตั้งใจที่จะเขียน และฝากผลงานเขียนต่างๆเอาไว้ให้ได้อ่านกันนะครับ


สุดท้ายนี้ทุกๆบทความที่เขียนที่บอกกล่าวถ้าหากว่ามีประโยชน์กับทุกๆท่าน ผลที่ทุกๆท่านได้รับประโยชน์นั้นโปรดดลบันดาลกลับคืนสู่ทุกๆท่านด้วยนะครับ ขอให้ประสบแต่สิ่ที่ดีๆ คิดอะไทำอะไก็ขอให้สมความมุ่งมาดปราถนากันทุกคน



                                                                                      ด้วยความปราถนาดีจาก


                                                                                        "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                                                                                                   สวัสดี


ติดตามอ่านผลงานเพิ่มเติมได้ที่ :

Facebook : songrit songrit

ID Line : taaoo429

Google: พิมพ์คำว่า โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง

snuprai.blogspot.com






Tuesday, May 2, 2017

"ฅนต้นทะเล"


" ฅนต้นทะเล"



(ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่าทุกๆสิ่งเสมอ)

การเดินทางที่นานและระยะทางที่ไกล มันช่างทำให้ผมได้เรียนรู้ทำความเข้าใจใน "พลังของมิตรภาพ" เพิ่มมากขึ้นไปทุกขณะ ผนวกกับการเดินทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เป็นเครื่องเยียวยารักษาสุขภาพของจิตใจมากขึ้นด้วยธรรมชาติที่รังสรรค์ริมสองฝั่งข้างทางอันสวยงาม ผู้คนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมเองเคยเจอมามากต่อมากแล้ว แต่มันไม่เหมือนกับดินแดนแห่งนี้เลย ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับมิตรภาพที่ดีๆแบบนี้

อรัมภบทกันมาพอแล้ว เข้าเรื่องกันเลยนะครับ มีคำพูดๆหนึ่งที่ทำให้ผมได้คิดวิเคราะห์ตรึกตรองอย่างชัดเจน      " ความเป็นเพื่อน ไม่ลืมกัน จนวันตาย " เป็นคำพูดของชายชราผู้หนึ่งแห่งหมู่บ้าน  "หม่องกั๊วะ" คนที่ผมจะเขียนช่วงเวลาหนึ่งที่ผมมีโอกาสได้สัมผัสและได้พูดคุยกับชายชราผู้นี้มานะครับ

วันที่ 26/12/16 เป็นวันที่ 4 ของการเดินทาง ผมดั้นด้นเดินทางเพื่อไปพบกับคุณลุงท่านหนึ่งท่านมีชื่อว่า "คุณลุงสมหมาย" สหายเก่าผู้นำทางด้านความคิด และ "ผู้นำกลุ่มฅนต้นทะเล" จิตวิญญาณของการอนุรักษ์ป่าผืนป่าต้นน้ำลำธารแห่งหมู่บ้าน "หม่องกั๊วะ" อำเภออุ้มผาง ("ดินแดนแผ่นดินดอยลอยฟ้า") จ.ตาก  เป็นบุคคลคนเดียวที่ทุกๆท่านคงจะเคยพบเห็นในรายการ "ฅนค้นฅน" และได้รับรางวัล  "ฅนค้นฅนอะวอร์ด" ครั้งที่ 4 เมื่อปี 2556 นี้ด้วย ผมได้มีโอกาสพูดคุย ได้พักหลับนอนที่ "บ้านไม้ไผ่" อันเป็นชัยภูมิ ภูมิปัญญาชาวบ้านอีกแขนงหนึ่งของการดำรงค์คงอยู่ ซึ่งธรรมชาติต่างๆนั้นเต็มไปด้วยแมกไม้ที่ทอดทาบเรียงรายร่มรื่นตามทิวเขาสลับกันไปมา ลมหุบเขาพัดแผ่วเบาเย็นสบาย สลับกับบรรยากาศที่ค่อนข้างจะหนาวเย็นพอสมควร เสียงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ส่งเสียงร้องระงมเซ็งแซ่ ช่างเป็นธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เหมาะอย่างยิ่งในการพักผ่อนในแบบธรรมชาติแบบนี้จริงๆ

ภูมิปัญญาชาวกะเหรี่ยง กับมิตรภาพที่ดีๆที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยถ้าหากขาดน้องสาวผู้น่ารักของผมไปเสียสักคนหนึ่งแล้ว ผู้ที่ทำงานคลุกคลีร่วมกับชนเผ่าปกาเกอญอมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ผูกพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นกับชาติพันธุ์กะเหรี่ยงปกาเกอญอเป็นอย่างมาก ถึงขั้นขนาดที่ว่าฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกเป็นหลานกันได้เลยทีเดียว แน่นแฟ้นกันขนาดนั้นกันเลย

มิตรภาพของสายน้ำ,ขุนเขาและผู้คนชาวปกาเกอญอ มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีของการหล่อหลอมจิตวิญญาณแห่งการอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำแห่งทะเล ถูกสืบทอดต่อๆกันมาจากรุ่นปู่ย่าตายายสู่อีกรุ่นหนึ่ง อย่างมีนัยสำคัญของการดำรงค์คงอยู่ของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันมาอย่างช้านาน

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนถึงมิตรภาพการให้เกียรติต่อแขกผู้มาเยือน เช่นประกอบอาหาร รวมถึงการรับประทานอาหาร ชาวปกาเกอญอจะต้องเป็นผู้ประกอบอาหารให้แขกของเขานั้นได้รับประทานก่อน ส่วนตัวเองและครอบครัวถึงจะเป็นฝ่ายรับประทานทีหลัง ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่แทบไม่มีทางได้เจอในสังคมเมืองอย่างแน่นอน ผู้คนอัธยาศัยดี,สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะอยู่กับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไร้สารเคมีเจือบ่น ดังนั้นอาหารการกิน ชีวิตสุขภาพจึงบริสุทธิ์ตามไปด้วย หรือสังเกตุได้ง่ายๆอีกอย่างหนึ่งคือคนปกาเกอญอนั้นไม่มีคนอ้วนให้ได้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว

อากาศที่บริสุทธิ์เย็นสบาย เมฆหมอกยามเช้าลอยฟุ้งพุ่งกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ ธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์จริงๆ อยู่กับกลิ่นอายของแมกไม้สายธารและขุนเขาที่โรแมนติคทำให้ชีวิตผมช่วงเวลานั้นถูกกลืนไปกับธรรมชาติอันสุนทรีย์รมย์อย่างนี้ในทันที   ป่าเขาลำเนาว์ไพร สายน้ำลำธาร ความสงบเงียบ เสียงของธรรมชาติที่ร้องเรียกเป็นเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง สัตว์ป่านานาชนิดส่งเสียงร้องขับขานตามประสาสัตว์ป่าไปทั่วอาณาบริเวณผืนป่าเขาแห่งนี้ ทั้งในช่วงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าและก่อนรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่จะมาถึง เป็นเสียงแห่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าต้นน้ำธรรมชาติจริงๆ


สายธารต้นกำเนิดของทะเล "จากภูผาสู่ทะเล" ซึ่งผมเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า "ออนเซ็น" (เมืองไทยก็มีและสวยกว่าเมืองนอกเสียอีก) ธรรมชาตินี้ได้รังสรรค์สิ่งที่สวยงามเอามาไว้ต่อหน้าผมมันช่างเป็นเหมือนสวรรค์จริงๆ เครื่องมือสื่อสารต่างๆหยุดการทำงานของมันลงอย่างสิ้นเชิง ตัดขาดจากความวุ่นวายของสังคมเมืองภายนอก มันรู้สึกถึงการได้พักผ่อน พักสมองในการคิด พักหัวใจที่บอบช้ำมาจากสิ่งแวดล้อมที่เจอมา จุดไฟที่กำลังจะมอดมิดลงให้กลับมาลุกโชนโชติช่วงสว่างไสวอีกครั้งเติมเต็มพลังก่อนที่จะเข้าไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในการทำงานที่สับสนวุ่ยวายอีกครั้งในเมืองกรุง
                             (ออนเซ็น)

กลุ่มชาติพันธุ์ "กระเหรี่ยง "หรือ "ปกาเกอญอ" ผู้มีชีวิตผูกพันธ์กับขุนเขา สายน้ำ และธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ทำให้วิถีชีวิตชาวปกาเกอญอ ผู้มีจิตวิญญาณเกี่ยวพันธ์กับธรรมชาติได้มองเห็นสัจจธรรมความจริงอย่างถ่องแท้ที่ว่า 

"ผืนป่าและสายน้ำหาได้เป็นสมบัติส่วนตัว หรือของชนเผ่าของตนแต่อย่างใด แต่มันคือทรัพย์สมบัติของคนไทยทั้งชาติ และคนทั้งโลกที่สามารถพักพิงพึ่งพาอาศัยได้อย่างเท่าเทียมกัน"  


บน "ผืนป่าตะวันตกตอนบน" ซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญๆ เช่น ลำน้ำแม่กลอง ซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตทุกๆสรรพชีวิตที่อยู่ภายใต้แม่น้ำสายนี้ ก่อนจะไหลลงสู่ท้องทะเลอ่าวไทยอันกว้างใหญ่ไพศาล หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตของคนบนโลกใบเดียวกัน สร้างความสมดุลภาพของทุกๆชีวิตทั้งตอนบน และตอนล่าง ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงชนเผ่าปกาเกอญอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่ได้รับประโยชน์ แต่ยังเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับทุกๆสรรพสิ่ง สัตว์ทุกๆชีวิตได้อาศัพอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความรับผิดชอบต่อผืนป่า ลำธารต้นกำเนิดที่ชาวปกาเกอญอได้ยึดถือและยืนหยัดปฏิบัติกันมานับหลายชั่วอายุคน นี่คือสิ่งที่ชาวปกาเกอญอนั้นทำกันมาอย่างช้านาน ดูแลรับผิดชอบในฐานะของคน "ต้นทะเล" เพื่อทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

                 " ถ้าป่าให้เรากินเราจงรักษาป่า ถ้าต้นน้ำลำธารให้เรากินจงรักษาต้นน้ำลำธาร "
เป็นวลีสั้นๆของ คุณลุงสมหมาย ที่ผู้เขียนได้ยิน และได้สัมผัสมา..........................................

ฟังๆแล้วกับคำพื้นๆคำนี้ ในความรู้สึกของผมเองซึ่งไม่อาจเอื้อมที่จะไปล่วงรู้ถึงความรู้สึกของท่านอื่นได้ นะครับ ได้แต่ฟังความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น มันเป็นคำพูดที่ถูกต้องอย่างมาก คนที่พูดออกมานี้ได้ล่วงรู้ถึงบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และของผืนแผ่นดิน ผืนน้ำ ผืนป่าที่ได้มอบให้กับมนุษยชาติของเรา เป็นสิ่งที่เราทุกๆคนนั้นต้องตอบแทนคุณกลับคืนธรรมชาติกันบ้างนะครับ

ด้วยความเชื่อถือของชนเผ่าปกาเกอญอที่สืบทอดตกต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี จากความสัมพันธุ์ของ ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ,ภูเขา ต้นไม้ และสายน้ำต้นทะเล เป็นชนเผ่าที่นับถือคำสอนของ "ฤาษี" และพิธีกรรมความเชื่อ หรือพิธี "พิธีมาบุโค๊ะ" พิธีกราบไหว้เจดีย์ที่จะจัดขึ้นเพื่อเคารพสักการะคำสอนของฤาษีในช่วงวัน "มาฆบูชา" หรือราวๆต้นเดือน มีนาคม ของทุกปีซึ่งจะจัดขึ้น 7 วัน 7 คืน

และพิธีนี้เองทำให้ผมนั้นได้ค้นคว้าเพิ่มเติมถึงความสำคัญของพิธีกรรมนี้ ได้รู้จักกับบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็น "ผู้นำด้านจิตวิญญาณ" ตามวิถีทางของคำสอนของ "ฤาษี" ที่สืบทอดต่อๆกันมา 


คุณลุง"พินิจ"
"ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณฤาษี" อายุท่านก็ราวๆ 89 ปี ( ณ ขณะที่ผู้เขียนได้เขียนถึง) ผู้ทรงศีลตามหลักคำสอนของ ฤาษี ผมเองได้มีโอกาสสนทนาพูดคุยโดยผ่านทาง "พี่ตือ" เจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่เดินทางไปด้วยกัน สิ่งที่ได้พูดคุยกับ ลุงพินิจนั้นท่านได้สนทนาเป็นภาษากะเหรี่ยงกับทางพวกผมหลายต่อหลายคำ ทำให้ผมไม่อาจเข้าใจในบทสนทนาภาษา "กะเหรี่ยง" ดังกล่าวได้ ไม่อาจเอากลับมาเขียนบทสนทนาดังกล่าวเพื่อบรรยายความรู้สึกจากการสนทนาในครั้งนั้นให้ทุกๆคนได้อ่านกัน (ต้องขอประทานโทษทุกๆท่านมาด้วยนะครับ)

 แต่สิ่งหนึ่งที่ผมนั้นสัมผัสได้คือ " พลังในจิตวิญญาณ " ดวงนั้น ดวงที่อยู่ในตัวคุณลุงพินิจ ทั้งสีหน้าแววตา ท่าทาง ที่เคร่งขรึม ทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ใจ (Amazing) อย่างมากที่ผมนั้นไม่สามารถอธิบายให้ทุกๆท่านได้เข้าใจได้อีกเช่นเคย   หลังเสร็จสิ้นจากการสนทนากับลุงพินิจแล้ว ก่อนที่ผมจะลากลับจากไปเพื่อไปสู่วังวนที่สับสนวุ่นวายในเมืองกรุง ด้วยความที่ท่านนั้นได้ให้ความเอ็นดูและห่วงใยพวกกระผม แกก็ไม่รอช้าที่จะให้พรเป็นภาษากระเหรี่ยงอีกเช่นเคย ซึ่งผมนั้นไม่รู้เรื่องอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้แต่มโนสำนึกของผมไป หรือคาดเดาในสิ่งที่คุณลุงนั้นได้สื่อสารผ่านคำอวยพรช่างเป็นพรที่ดีเลิศ และประเสริฐที่สุดสำหรับชีวิตของผมในรอบปีนี้  และในอนาคตของชีวิตนี้เป็นแน่ ซึ่งผมมั่นใจอย่างนั้น


ด้วยสีหน้าและแววตาของคุณลุงพินิจ ท่านเป็นคนที่ดูเข้มขลัง ดุดัน แต่เมื่อมองในแววตาชัดๆแล้ว ท่านนั้นกลับดูมีน้ำใจโอบอ้อมอารีย์ อบอุ่นเสมอที่ผมนั้นได้มองผ่านแววตาคู่นั้น ใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เปื้อนรอยยิ้มที่มุมปาก ละมุนละไมดูแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ทันทีอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

อีกทั้งท่านยังเป็นผู้ที่สืบสานตำนาน "คนปรุงยาสมุนไพร" ตามแบบฉบับโบราณกาลอีก ซึ่งในถิ่นธุรกันดารขนาดนี้การที่จะหาหยูกยามารักษาบรรเทาอาการป่วยไข้นั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน เพราะห่างไกลจากสถานพยาบาล จำเป็นที่จะต้องนำองค์ความรู้ต่างๆเหล่านี้มาเผยแพร่ และหาวิธีเยียวยารักษาด้วยสมุนไพรอย่างชาวเขาชาวดอยเขาทำกัน เป็นภูมิปัญหาชาวบ้านอีกแขนงหนึ่งที่น่ายกย่อง น่าอนุรักษ์รักษาหวงแหนเอาไว้เพื่ออนุชนคนรุ่นหลังได้สืบทอดภูมิปัญญาวิชาทางการแพทย์แผนโบราณนี้เอาไว้ให้ยาวนานสืบไปจนชั่วลูกชั่วหลานให้ยาวนานที่สุด

เสร็จภาระกิจจากคุณลุงพินิจแล้วก็ถือโอกาสกราบลาท่านเสียที เป็นการจากลาที่ผมเองไม่อยากที่จะลาจากดินแดนแห่งนี้เลย ยังอยากที่จะอยู่ต่ออีกสัก 2-3 คืนด้วยซ้ำไป แต่เนื่องด้วยว่าภาระกิจแห่งสังคมเมืองที่บีบรัดนั้นมันไม่เหลือเวลาให้กระผมได้อยู่ต่ออีก จำใจต้องจากลากลับกันเสียที (ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาเยือนถึงถิ่นนี้อีกครั้ง)



ส่วนเด็กๆ ที่นั่นสำหรับโอกาสที่จะได้รับการศึกษาในความคิดของคนในเมื่องอย่างเราๆคงจะคิดเหมือนผมว่า "คงไม่มีทางได้รับการศึกษาที่ดีเป็นแน่"  แต่ในทางกลับกันโอกาสที่เด็กๆที่นี่ได้รับนั้นคือการศึกษาที่สร้างการเรียนรู้กันถึง 3 ภาษาที่คนเมืองอย่างเราๆนั้นยากที่จะหาโอกาสแบบนี้ได้ อย่างเช่น ที่ "ค่ายอพยพ" การเปิดการเรียนการสอนนอกระบบของการศึกษาในประเทศไทย เพื่อให้เข้าใจกันนะครับ ภาษาที่ผมเห็นความแตกต่างอย่างมาก คือ "ภาษาอังกฤษ"
 ที่เปิดสอนเด็กที่นี่ถึงเกรด 12 ตรงกับการเรีนยการสอนในต่างประเทศกันเลยครับ ซึ่งมีความแตกต่างจากสังคมเมืองอย่างเราๆ ที่ทั้งการพูด และการเขียนภาษาอังกฤษกลับไม่ได้เรื่อง แถมยังยกยอตัวเองว่าเก่งกว่า หรือดีกว่าเด็กพวกนี้ เพราะผมได้เห็นและได้พิสูจน์แล้วว่าเด็กที่นี่เขาเก่งจริงๆ ครับ ซึ่งเก่งกว่าหลายๆคนในเมืองใหญ่ๆเสียอีก

มุมมองของผู้เขียนนั้นมองเพียงแค่ว่าโอกาสเป็นสิ่งที่ตัวเรานั้นสามารถที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ แต่เรานั้นจะรับรู้ถึงโอกาสที่มาถึงตัวเราได้หรือไม่ อย่างไร????????

สุดท้ายนี้ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทีมงานที่ร่วมขบวนกันไป และก็ขอบคุณน้องๆพี่ๆทั้งหมดที่อำนวยความสะดวกทั้งที่พัก การกินอยู่หลับนอน การเดินทางที่แสนลำบาก และทรหด ขอบคุณคุณลุงสมหมาย คุณลุงพินิจ ขอบคุณพี่ตือ ขอบคุณน้องขุน แห่งมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร น้องเก๋ ที่น่ารักเจ้าหน้าที่ พอช.ขอบคุณคุณพี่อู๊ดดี้ ที่เอื้ออำนวยรีสอร์ทที่พัก "ตูกะสู" รีสอร์ทที่แสนร่มรื่นอยู่ในร่มเงาทอดกายด้วยไม้ใหญ่ยืนต้นร่มรื่นสวยงามและแสนสบายมากๆนะครับ และทั้งหมดที่ไม่สามารถกล่าวถึงด้วยนะครับต้องขอประทานโทษมานะที่นี้ด้วย





สุดท้ายแต่ก็ยังไม่ท้ายสุดซะทีเดียวนะครับ  ทุกๆสิ่งที่ผมได้ตั้งใจทำในครั้งนี้ และทุกๆครั้งที่ผ่านๆมา หรือในอนาคตที่ผมจะทำ ผมเชื่อมั่น และผมสัญญาว่ากระผมจะทำแต่สิ่งที่ดีๆ และเป็นประโยชน์ให้กับคนส่วนมาก ทั้งนี้เพื่อคนที่ผมนั้นรักสุดหัวใจ ผมจะทำมันต่อไป และจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ "รักและคิดถึงเสมอ" 














                                                                                                                                 

                                                                                                                    ด้วยความปราถนาดีจาก

                                                 
                                                                                                  " โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "





ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ :

www.โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง.com
FB: songrit songrit
Lind Id : taaoo 429
หรือค้นหาใน Google พิมพ์คำว่า โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง