Monday, June 26, 2017

" หนังกำพร้า # 2 "


13/6/2560

" หนังกำพร้า # 2 "


"หากย้อนเวลาได้" ทุกคนคงไม่อาจปฏิเสธที่อยากกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมาด้วยกันทั้งนั้น   แต่ในโลกของความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ทำได้แค่เพียงแค่ว่า "จะทำชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดได้อย่างไร" ดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ 
      
      "ถ้าหากเราจมอยู่กับอดีตวันพรุ่งนี้จะมีอนาคตได้เช่นไร" 


ทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ถูกเก็บงำปิดบังซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของผู้หญิงคนนี้ เจ็บปวดรวดร้าวกับปมชีวิตที่เกิดขึ้น หากแต่ทุกวันนี้อยู่กับความเป็นจริงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบทบาทใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว นั่นคือหน้าที่ของความเป็น "แม่" คือทำเพื่อ "ลูก"




ลูกที่ต้องดูแลถึง 2 คน พ่อที่กำลังป่วย,น้องที่ติดคุกเพราะคดียาเสพติด ทั้งหมดนี้รวมๆที่ต้องรับผิดชอบดูแลถึง 5 ชีวิตด้วยกัน นับว่าเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะรับมันได้  บางคนไม่อาจยอมรับมันได้ แต่สำหรับเธอผู้นี้ต้องอดทน ยอมรับ และต่อสู้กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต  คงอยู่ได้เพราะได้รับกำลังใจอันล้นเปี่ยมอยู่เสมอ มองเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมี          " สติ " ทำให้ชีวิตของเธออยู่ได้ด้วยกำลังใจจากคนภายในครอบครัวที่มีให้อย่างเปี่ยมล้น

หลายเรื่องราวที่ผู้เขียนได้เจอมากับตัวเอง ซึ่งได้รับฟังเรื่องราวจากผู้คนที่รู้จักใกล้ชิด และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องคนหนึ่ง ซึ่งน้องคนนี้เองไปรับผมที่สนามบินเมื่อครั้งที่ออกตรวจโซนภาคเหนือ ในครั้งแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ว่าเรื่องราวในลักษณะแบบนี้จะเกิดขึ้นกับน้องจนกระทั่งได้นั่งทานข้าวกัน น้องผู้หญิงก็มาพร้อมกับเด็กสองคน กำลังน่ารักซุกซนตามประสาเด็กๆ ผมเองได้แต่เก็บความฉงนสงสัยเอาไว้คนเดียว ว่าเด็กทั้งสองคนนี้ทำไมรูปร่างหน้าตาไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกันเลยแม้แต่นิดเดียว

ก็ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นอย่างผมนั่นหล่ะครับที่มันอดไม่ได้ที่จะถาม มันเป็นนิสัยส่วนตัวไปเสียแล้วที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านชาวช่องเขาไปทั่ว จนได้เรื่องได้ราวมาเขียนให้ทุกๆคนได้อ่านได้เตือนสติกันครับ เอ้ามาว่ากันต่อเลย....................


พอมารู้อีกทีก็ร้องอุทานคำสบทออกมาเบาๆว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้คล้ายๆกันกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งก่อนในบทความเรื่อง " หนังกำพร้า#1 " ที่เขียนให้ทุกๆท่านได้อ่าน แต่เรื่องราวนี้รุนแรงกว่าที่ได้เขียนขึ้นหลายเท่านัก เพราะมีดวงใจน้อยๆถึง 2 ดวงเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักของเขาทั้งสอง  มันจึงเป็นเรื่องราวที่จะเขียนเพื่อเตือนสติของใครหลายๆคนที่ได้อ่านบทความนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ


ด้วยความมักมากของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อกัน เห็นหญิงอื่นดีกว่า ก้าวเท้าเดินออกจากบ้านไป โดยไม่เคยเหลียวแลชีวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิดขึ้น ปล่อยทิ้งปัญหาเอาไว้ให้เป็นภาระของหญิงสาวแต่เพียงผู้เดียว จนแล้วจนรอดก็ไม่คิดที่จะหวนหลังกลับ  กลับกลายเป็นว่าจะต้องเพิ่มปากท้องมาอีกหนึ่งชีวิตที่จะต้องเลี้ยงดู

บทสุดท้ายของการใช้ชีวิตร่วมก็ต้องจบลงด้วยการแยกทางกันไปโดยปริยาย ทิ้งความขมขื่นเอาไว้กับหญิงสาวที่ต้องดูแลลูกน้อยๆ และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของเธอไปอีกนาน

เวลาผ่านไปอีก 3 ปี เห็นจะได้ ด้วยความที่เธอยังไม่เข็ดกับความรัก ยังคงเฝ้าคอยหาคนที่จะเข้ามาดูแลชีวิตของเธอและลูกที่เกิดจากผู้ชายคนแรก และแล้วเธอก็ได้พบรักใหม่ซึ่งเกิดจากความใกล้ชิดสนิทสนมเพราะทำงานอยู่ที่เดียวกัน เธอมอบหัวใจให้กับชายผู้นี้ หวังว่าจะฝากชีวิตไว้กับเขา คิดแต่เพียงว่าจะเป็นคนดีสำหรับเธอและลูก  หยุดความรักเอาไว้ที่เธอเพียงคนเดียว ต่างคนก็ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน นี่หรือที่เขาเรียกกันว่า " ความรักมักทำให้คนตาบอด " ด้วยกันทุกคน

หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งฝ่ายชายเข้าใจผิดคิดไปว่าฝ่ายหญิงนั้นปันใจให้กับชายอื่น โดยที่เขานั้นคิดเองเออเองเหมาสรุปเอาแต่ผู้เดียวโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลของเธอแม้แต่น้อย  ถึงขั้นทะเลาะกันอย่างรุนแรง บทสรุปสุดท้ายก็ต้องเลิกลาจากกันไป แต่ในขณะนั้นหนึ่งชีวิตที่กำลังก่อกำเนิดเกิดขึ้นโดยที่เธอ และคนรักไม่รู้ตัวมาก่อน และเริ่มเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ เธอถึงได้รู้ว่ามีดวงใจน้อยๆได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกดวงแล้ว  (ในความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าผู้ชายนั้นถือว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนฝ่ายหญิงก็ถือว่าความรักนั้นสำคัญมากกว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเช่นเดียวกันจึงทำให้เกิดความเห็นที่ต่างกันออกไป) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปได้ต้องก้มหน้ารับกับมันอย่างเต็มใจ

เธอตัดสินใจบอกเรื่องราวนี้กับคนที่เธอรักว่าเธอนั้นได้  "ตั้งท้อง"  หวังว่าจะได้รับการดูแล หรือคำพูดปลอบใจที่ดีๆกลับมาบ้าง อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจในการเลี้ยงดูลูกน้อยที่กำลังจะลืมตามาดูโลกใบนี้ แต่แทนที่ชายที่รักจะยินดีกับชีวิตใหม่ที่เป็นพยานรักของคนสองคน คำที่เธอได้ยินกลับตรงกันข้ามซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้ยินได้ฟังจากปากของคนรักเลย

 ชายคนรักบอกเธอออกไปว่า ให้เธอนั้นไปเอาเด็ก "ออก" เพื่อไม่ให้เป็นภาระในการเลี้ยงดู ซึ่งคำพูดคำพูดนี้เปรียบเหมือนเอามีดปลายแหลมทิ่มแทงที่กลางหัวใจเธอ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวคงไม่ต้องพูดถึงว่าจะเจ็บปวดเพียงไร  เธอเสียใจอย่างมากผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดที่คนรักบอกให้เธอทำอย่างนั้น ท่านลองคิดดูว่าเธอคนนี้จะเจ็บปวดรวดร้าวมากขนาดไหน (ผู้เขียนเองไม่กล้าที่จะประเมินความเจ็บปวดรวดร้าวที่เธอได้รับมาว่ามันจะมากเพียงไรนั้นผู้เขียนไม่กล้า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!)


แต่ด้วยความที่เธอเข้มแข็ง พยายามที่จะปกปิดเรื่องราวอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องการที่จะให้ใครมารับรู้เกี่ยวกับชีวิตรักของเธอมากนัก ประกอบกับหน้าที่การงาน และสถานะภาพทางสังคม แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดเพราะเธอนั้นไม่เชื่อคำทัดทานของผู้ใหญ่ ทำไปเพราะหัวใจเรียกร้องให้ทำโดยขาดสติยับยั้งชั่งใจ  จนทำให้เกิดบทเรียนที่เลวร้ายในลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนได้ เป็นบทเรียนที่สอนเธออีกแล้ว........นี่หรือชีวิต!!!!!!!!....................................(ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่า "ต่างคนก็ต่างมีเหตุและผล ต่างที่มาและก็ต่างที่ไป แต่เหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือความรับผิดชอบ" ที่พึงมีให้แก่กันและกัน)

จวบจนวันเวลาได้ผ่านไปท้องของเธอก็โตขึ้นเรื่อยๆไม่สามารถที่จะปกปิดคนรอบข้างได้อีก ห้วงของเวลานั้นอารมณ์ความรู้สึกฉุนเฉียวของคนท้องนั้นมันหนักขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าเวลาที่เธอนั้นเดินทางไปฝากครรภ์เธอจะเห็นภาพที่สามีพาภรรยาไปพบแพทย์ต่างดูแลประคับประครองกันมันช่างเป็นภาพปาดใจเสียกระไร  น้ำตาเธอนั้นก็ไหลออกมาในทันใด

แต่เธอก็พยายามยับยั้งอารมณ์ความรู้สึกนั้นเอาไว้ เพราะด้วยตระหนักคิดได้ว่าสิ่งทีเกิดขึ้นมันเกิดจากความผิดพลาดของตัวเธอเอง และเธอเองจะต้องแก้ไขทำมันให้ถูกต้องถึงแม้ต้องเผชิญกับโลกของความเป็นจริง ที่จะต้องอุ้มท้องไปไหนมาไหนคนเดียว คิดและทำมันเพียงลำพัง  เธอต่อสู้ฟันฝ่ากับมรสุมชีวิตมาได้ด้วยกำลังใจจากพ่อและลูกๆของเธอ 

"ไม่มีพ่อความรักของแม่จะทดแทนทุกอย่าง"  เป็นที่น่าชื่นชมอย่างมากสำหรับความคิดอย่างนี้ ผมเองในฐานะผู้เขียนยกย่องกับความคิดของเธอแบบนี้จริงๆ ซึ่งสังคมเองก็น่าจะให้อภัยเธอในฐานะที่เธอ "เป็นแม่" ไม่ยอมที่จะทำ "ร้ายเลือดเนื้อเชื้อไข" รักษาดวงใจน้อยๆนี้เอาไว้

"ความทุกข์ไม่เคยทำให้ใครตาย แต่ความทุกข์นั้นกลับทำให้เรายิ่งเข้มแข็งอีกครั้ง"

เป็นอีกเรื่องราวๆหนึ่งที่ผู้เขียนได้เจอและได้รับการถ่ายทอดมาโดยตรง เป็นมุมมองๆหนึ่งที่จะเตือนสติของใครหลายๆคนได้ ให้รู้จักการยับยั้งชั่งใจตัวเองก่อนที่จะทำ เพราะทำแล้วเกิดความผิดพลาดเสียหายก็จะอยู่ที่ตัวผู้จะทำเอง และผลเสียนั้นกลับตกอยู่ที่ตัวเด็ก ดังนั้นการที่เราจะคิดและทำอะไรลงไปขอให้ได้ใช้สติคิดก่อนที่จะทำเสมอ อย่าใช้อารมณ์ในการคิดและทำมันโดยเด็ดขาด มันมักจะเกิดผลเสียอย่างมาก

สุดท้ายสิ่งหนึ่งที่บทความบทนี้ทำให้ผู้ใดที่ได้อ่านเกิดได้สติยั้งแต่สิ่งหนึ่งที่น่าคิดต่อจากนี้ เด็กต้องโตขึ้นทุกวันมีสังคมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยทั้งสองคนนี้จะมีที่ยืนในสังคมนี้หรือไม่ เด็กจะรับแรงกดดันจากสังคมภายนอกได้มากน้อยขนาดไหน วิถีชีวิตของเขาทั้งสองคนจะดำเนินไปในทิศทางใด เรื่องนี้ผู้เขียนอยากจะฝากเอาไว้กับคนที่เป็นแม่และสิ่งแวดล้อมของเด็กได้อยู่อาศัยเป็นตัวบ่งชี้หรือเป็นตัวกำหนดได้อย่างดีเกี่ยวกับชีวิตดวงน้อยๆที่จะต้องดำเนินต่อไป เพราะวันหนึ่งข้างหน้าเด็กจะเติบโตอย่างเข้มแข็ง พร้อมที่จะยืนหยัดในสังคมนี้ได้ด้วยชีวิตของเขาอย่างกล้าหาญ และสร้างสิ่งที่ดีๆให้เกิดในสังคมนี้ได้ 

คลื่นมรสุมชีวิตมันได้ผ่านพ้นไปแล้วแต่ชีวิตยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และนี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเราทุกๆคนนั้นทราบดี แต่วันสิ้นสุดไม่มีใครตอบได้แม้กระทั่งตัวผู้เขียนเองหรือผู้อ่านก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำได้เลยเพราะชีวิตของเด็กน้อยเพิ่งเริ่มต้นเดินทางเท่านั้น อนาคตยังอีกไกลมาก

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างมากว่า หากครอบครัวต่างมอบความรักความอบอุ่น และความเอาใจใส่กับเด็กทั้งสองนี้แล้วมันจะกลับกลายมาเป็นภูมิคุ้มกันอันดีให้กับตัวเด็กได้ สามารถที่จะทำให้เด็กอยู่และสู้กับสังคมภายนอกที่ต้องเจอ ตัวแม่เองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีๆให้กับลูกๆ ขอให้เอาประสบการณ์ของตัวเองที่ผ่านมันมาเป็นตัวที่คอยสั่งสอน และยึดถือคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้การอบรมสั่งสอนลูกๆสั่งสอนให้เขาไปในทิศทางที่ดีๆ อบรมเขาเพื่อจะได้เติบใหญ่เป็นคนที่ดีในสังคมนี้ให้ได้ สามารถที่จะสร้างครอบครัวของตนเองได้อย่างมั่นคงแข็งแรงต่อไปในอนาคต

บยั้งชั่งใจ ได้หวนกลับมาคิดก่อนที่จะทำกับมัน สิ่งที่ดีๆที่เกิดขึ้นจากบทความนี้ผู้เขียนไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้ขอส่งผ่านไปยังผู้หญิงต้นเรื่องๆนี้เลยครับ สิ่งใดที่เธอผู้นี้ได้ทำก็ขอให้ประสบความสำเร็จในทุกๆอย่าง สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อที่จะได้ดูแลพ่อบังเกิดเกล้า และลูกๆของเธอผู้นี้ได้




                                                                                                    ด้วยความปรารถนาดีจาก


                                                                                                "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                                                                                                                สวัสดี


www.โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง.com

FB: songrit songrit

Line ID : taaoo429

พบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ

No comments:

Post a Comment