"ปรัชญาคน ป.4 "
จากบทความตอนที่แล้วเรื่อง “มาทำความดีกัน ก่อนที่ประตูบานสุดท้ายจะเปิดและปิดลง” ผมได้เขียนถึงครอบครัวนึงที่ผมไปเจอขณะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด วันนี้ผมขออนุญาตเขียนเรื่องของครอบครัวนี้กันอีกสักนิดตอนแรกๆ อาจจะดูเป็นกฎแห่งกรรมไปนิดแต่ก็อยากให้อ่านให้จบก่อนนะครับ
แกเล่าเรื่องความเป็นมาเป็นไปในชีวิตของแกให้ผมได้ฟัง แกเกิดที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร การศึกษาจบเพียงชั้น ป.4 เท่านั้น แต่ก่อนสมัยหนุ่มๆอายุสักประมาณ 17-18 ปี แกยึดอาชีพทำงานอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ ทุกวันแกจะฆ่าวัว ฆ่าหมู โดยเฉลี่ยวันละ 2-3 ตัว ต่อวัน ทำอย่างนี้มาเป็นระยะเวลา 6 ปีเต็มๆ
วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันกับชีวิตของแกที่ทำให้เลิกฆ่าสัตว์ แกได้ล้มป่วยลงเป็นการป่วยโดยไม่รู้สาเหตุอะไรเลยต้องนอนพักรักษาตัวที่สุขศาลา (สมัยก่อนไม่มีสถานีอนามัย) ระยะเวลาเกือบปีที่ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น แกบอกกับผมว่าในคืนนึงที่แกนอนป่วยอยู่นั้น แกหลับไปและฝันว่ามีคนจะมาเอาชีวิตของแกไป เพราะแกก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าชีวิตสัตว์ไปมาก แต่ตัวแกเองไม่ยอมที่จะไปจนยื้อยุดฉุดกระชากกัน สุดท้ายแกไม่รู้จะทำอย่างไรดี แกเลยร้องขอชีวิตกับคนที่จะมาเอาชีวิตของแกไปว่า
“ถ้าลูกขอชีวิตกลับคืนมาได้ ลูกจะหมั่นสร้างแต่คุณงามความดีอยู่ทุกเวลา ทำบุญกุศลเพื่ออุทิศผลบุญที่ลูกได้กระทำต่อสัตว์เหล่านั้น และคนรอบข้าง”
เมื่อแกสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นช่วงก่อนรุ่งสางวันใหม่ แกรีบยกมือพนมขอบคุณคนที่จะมาเอาชีวิตแกไปและตั้งจิตอธิฐานในใจไว้ว่า "ลูกจะขอทำแต่คุณงามความดีตราบเท่าชีวิตนี้ที่ยังมีเหลืออยู่" นี่คือวินาทีที่ตัวแกรอดพ้นจากเงื้อมือของพญามัจจุราช มาได้ซึ่งน้อยคนนักที่จะพบเจอแบบแก แต่มันเป็นโอกาสที่ดีในการทำความดีเพื่อไถ่โทษแก่เหล่าบรรดาสัตว์ที่แกได้ฆ่าทำลายชีวิตเขาไป
ในเช้าวันใหม่นี้แกได้หายจากอาการป่วยเป็นปลิดทิ้งเหมือนปาฏิหารเกิดขึ้นกับชีวิตแกอีกครั้ง สร้างความงงง่วยให้กับหมอพยาบาลเป็นอย่างมาก เวลาป่วยก็ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ เวลาที่หายก็หายแบบไม่รู้สาเหตุเช่นกัน ต่างพากันงงกันไปหมดว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเป็นไปได้อย่างไร
แกมานั่งคิดว่า “เวลาที่แกฆ่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะร้องขอต่อชีวิตกับแกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว " มันเป็นบาปกรรมของแกแท้ๆ
หลังออกจากสุขศาลากลับมาพักอยู่ที่บ้านของตัวเอง ในใจก็คิดที่จะกลับเข้าไปทำงานที่โรงฆ่าสัตว์อยู่เสมอ แต่พอคิดแบบนั้นทีไรก็เจ็บออดๆ แอดๆ อย่างนี้เป็นประจำ แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความกลัวกับสิ่งที่ตนได้รับปากกับคนที่จะมาเอาชีวิตแกไป ทำอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าจะกลับเข้าทำงานที่เดิมดี หรือเปลี่ยนอาชีพใหม่ไปเลยดีกว่า คิดอยู่นานเกือบเดือน แต่มันกลับมีอะไรบางอย่างมาดลจิตดลใจที่ทำให้ไม่ได้เข้าไปทำงานที่นั่นอีกเลย สุขภาพก็แข็งแรงกลับมาเป็นเหมือนเดิมจนน่าแปลกใจมาก
หลังจากนั้นอีกประมาณสองปีต่อมาแกได้พบรักกับหญิงสาวซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาจนได้ลูกเป็นพยานรักสองคน อยู่กินกันมาโดยแกกับภรรยายึดอาชีพรับจ้างทำไร่สัปะรด ทำสวน ได้ค่าแรงวันละ 250 บาทเท่านั้น กับค่าแรงเพียงเท่านี้ยังต้องเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆ ของแกอีก
แม้ว่าครอบครัวของแกมีรายได้เพียงวันละ 250 บาท เพียงแต่ขอให้ รู้จักการใช้จ่าย รู้จักการกินอยู่อย่างพอเพียงแล้ว และยังสามารถแบ่งปันส่วนหนึ่งเพื่อทำบุญใส่บาตรได้อีก แกยังสอนลูกๆ อีกอย่างหนึ่งว่า เงินทองเป็นสิ่งที่หายาก การที่เรามีข้าวกินทุกมื้อนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว จะไปสรรหาสิ่งของอะไรมาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเพื่อตัวเองอีกทำไม ผมดูแล้วแกไม่ใช่คนที่ตะหนี่ขี้เหนียวอะไรนะครับ แต่แกเป็นคนรู้จักใช้ รู้จักกินอย่างพอเพียงต่างหาก
แกจบเพียง ป.4 ทำงานหารายได้เท่านี้ก็ดีแล้วได้ “ทำงานที่ทำอยู่อย่างเต็มที่ มีความสุขกับการทำงาน” ของแกและทำให้ครอบครัวมีความสุขที่พอเพียงก็ดีมากแล้วสำหรับครอบครัวของแก
อย่างที่ผมได้เคยเขียนไว้ว่า “การทำงานใดๆ ก็ตามถ้าหากเราทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถที่เรามีอยู่ สนุกกับงานที่เรารับผิดชอบแล้วมันก็มีความสุขกับการทำงาน งานต่างๆที่เราทำนั้นจะออกมาดีอย่างที่เราตั้งใจไว้”
และอีกสิ่งหนึ่งที่แกได้สอนผม คือเรื่องของความประหยัดรู้จักใช้สอยเงินทองอย่างมีระบบระเบียบ ไม่ใช้สอยเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น
แก “ไม่เคยตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตหรือความน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับตัวแกเอง” ให้ผมได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวในการสนทนากันในวันนั้น ในความคิดของผมเองคิดว่าแกเป็นคนที่ “ทรนง” หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ทั้งที่ผมดูแล้วตัวแกและลูกเมียไม่ใช่คนหยิ่งผยองจองหองอะไรเลย อยู่แบบเรียบง่าย มีแต่รอยยิ้มที่สดใสเท่านั้น บ้านที่มีเพียงผ้าใบทำเป็นหลังคา นั้นแต่ภายในมันสะอาดเรียบร้อยตามอัธภาพที่ครอบครัวแกอยู่
เมื่อถามแกว่าทำไมบ้านที่อยู่นี้ทำไมถึงสะอาดดูดีจังครับ แกตอบผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสและตอบผมด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับชี้นิ้วไปทางภรรยาคู่ชีวิตของแก แกพูดถึงศรีภรรยาอันเป็นที่รักของแกด้วยความภาคภูมิใจกับภรรยาอย่างมาก ยกย่องเทิดทูนเสมอ
แกเล่าให้ผมได้ฟังต่ออีกว่าที่แกอยู่แบบนี้ทุกวันนี้ได้เพราะ “เราสร้างความสุขใจที่เรามีให้กันอยู่เสมอๆ ” ถึงแม้ว่าบ้านที่แกอยู่ในขณะนี้ จะเป็นเพียงผ้าใบที่ใช้คลุมเพื่อทำเป็นหลังคากันแดดกันฝนกันลมเพียงเท่านั้น แต่ในบ้านหลังนี้มันมี "ความรัก" ให้กันและกันทุกๆ เวลา และทุกๆ คน ถ้าเราตั้งใจจะสร้างมันแล้วเราจะต้องสร้างจากครอบครัวของเราเสียก่อน ปลูกฝังจิตใต้สำนึกจากคนในครอบครัวเราก่อนนี่หล่ะ
แกพูดกับผมอีกว่า ไม่เคยมีใครอยากที่จะรู้จักผมเลยแม้แต่นิดเดียว มองเห็นผมก็ทำเมินเฉยไม่สนใจอะไร แต่ผมเองไม่ได้ว่าอะไรพวกเขา ไม่ได้โกรธเคืองอะไรพวกเขา อาจเป็นไปได้ว่า “ตัวเราไม่มีฐานะความเป็นอยู่ที่เทียบเท่ากับเขาเหล่านั้น ไม่มีอะไรที่น่าจะมองหรือน่าคบหาที่จะพูดคุยด้วย หรืออาจจะไม่มีผลประโยชน์ต่อกันนั้นก็เป็นได้” แต่สำหรับผมแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลย (แกพูดแบบสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวแกเองไม่มีผลกับการทำความดีของแกเลย แต่ก็ไม่ได้เห็นคนเหล่านั้นเป็นคนที่ผิดนะครับ) โอ้โห!!!!!นี่คิอสิ่งที่แกพูดออกมา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมามากต่อมากแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดของแกในวันนั้นถึงได้กินใจของผมเหลือเกิน
แกหันกลับมาถามผมว่า ทำไมถึงอยากจะรู้จักกับแก ผมตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้คิดที่จะคบกับใครเพียงแต่รูปลักษณ์ฐานะภายนอกของคน” หรอกนะครับ ผมคบได้กับทุกคน ถ้าหากว่าผมปิดกั้นตัวเองแล้ว ผมก็ “เปรียบเหมือนกับน้ำที่เต็มแก้วอยู่อย่างนั้น” มันไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้อะไรดีๆได้อีกเลย หลงทะนงตนเองว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้เก่งกว่าใครเขา ซึ่งมันก็เป็นได้เพียงแค่คนโง่ดีๆนี่เองครับ แกหัวเราะดังลั่นเลยครับ แล้วแกพูดออกมาคำเดียวว่า “ก็จริงนะ”
พูดคุยกันมาหลายเรื่องมาก มีคำพูดหนึ่งที่ผมสะดุดคิดกับคำพูดของแกมาก แกพูดออกมาว่า “คนเรานี้มันเหมือนกันทุกอย่าง แต่แตกต่างที่คนไม่เหมือนกัน” ฟังดูแล้วงงๆ นะครับ แปลให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า “คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน” นั่นเองครับ
ความหมายของแกที่อธิบายให้ผมฟังนั้นคือ คนเรานั้นเกิดมาจากที่เดียวกัน “คือเกิดจากท้องของแม่เหมือนๆกันทุกๆคน” มีชีวิตครอบที่ถูกปลูกฝังแตกต่างกันไป บางครอบครัวรักลูกจนไม่ลืมหูลืมตา “รักลูกไม่ถูกทาง หรือพ่อแม่รังแกฉัน” นั่นหล่ะครับ หรือบางครอบครัวต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทำมาหากินจนไม่มีเวลาให้กับลูกเลย ปล่อยปะละเลยกับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของหน้าที่พ่อแม่ทิ้งไป ลูกถูกจำกัดขอบเขตเพียงตัวคนเดียวลำพัง คิดและทำด้วยตัวคนเดียวตลอดเวลา และผลสุดท้ายกลายเป็นนิสัยส่วนตัวของเด็กไป โดยที่ไม่มีใครสอน หรือบอกลูกได้ว่า “สิ่งไหนดี สิ่งไหนถูกต้อง สิ่งไหนควรที่จะทำสิ่งไหนไม่ควรที่จะทำไม่มีใครคอยบอกสอนเขา” กลับปล่อยให้ลูกต้องเผชิญปัญหาด้วยความคิดของเขาเอง “ซึ่งสิ่งนี้คิดว่าเป็นความผิดของพ่อและแม่” ที่ทิ้งไปอย่างนี้ มันจึงเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมกลับมามากมาย ก่อให้เกิดอาชญากรรมต่างๆ ปัญหายาเสพติด ปัญหาท้องก่อนแต่ง ปัญหาเด็กตีกันวุ่นวายไปหมด สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ครอบครัวเราถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ด้วยฐานะเงินทอง หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ แต่เราจะไม่ยอมทิ้งให้ลูกๆ ของเราเป็นแบบนั้น ถึงแม้เราจะทำงานหนักกลับมาก็ตามหรือช่วงเวลาปิดเทอมผมก็จะพาลูกๆ ออกไปช่วยทำไร่อยู่เสมอโดยที่ไม่ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังอย่างแน่นอน สอนให้เขารู้จักช่วยตัวเองและอยู่ภายใต้การดูแลของเราอย่างใกล้ชิด เราเองก็จะต้องให้เวลาอันมีค่ากับเขาทุกๆ วันๆ ละ 4-5 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ (แกจัดสรรเวลาการดูแลได้ดีมากนะครับผมมองว่าอย่างนั้น)
ตอนเช้าๆ ก็จะพากันไปทำบุญใส่บาตรพระอยู่เสมอๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกของการทำความดีให้กับลูกๆ เพื่อสร้างเกราะกำบังปกป้องอันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆข้างของตัวเขาเองเมื่อในวันหนึ่งวันที่เขาเติบโตขึ้น เขาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สามารถที่จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และประเทศชาติที่ให้กำเนิดได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังของเขาและสร้างครอบครัวที่แข็งแรงของเขาเองได้
นี่เป็นบางช่วงบางตอนของการสนทนากับแก ผมเก็บเอาบางช่วงบางตอนที่สำคัญๆ มาเขียนให้ทุกคนได้รับรู้ไปกับผมนะครับ เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนของผมซึ่งได้มีโอกาสได้เจอกับครอบครัวนี้มันเป็นเวลาที่แสนดีมากๆ กับชีวิตของผมเอง สำหรับครอบครัวคนที่จบเพียง ป.4
ผมได้บทสรุปสั้นๆ ที่ว่า
“คนดีที่แท้จริงหรือคนที่เข้าใจในการใช้ชีวิตที่แท้จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นบทสรุปจากการที่เขาจะจบการศึกษาสูงกว่าคนอื่น แต่มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกของคนต่างหาก อย่าได้มองคนอื่นเป็นคนต่ำต้อยน้อยค่ากว่าตัวเอง คนทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นคุณค่าตรงนั้นของเขาหรือไม่”
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับบทความนี้ ผมคิดว่าเราทุกคนจะได้รับประโยชน์ในแง่ของความคิดที่ผมได้เขียนเล่าให้ท่านไปไม่มากก็น้อย สำหรับประสบการณ์ที่ผมได้เจอไม่มากก็น้อยนะครับ
ทั้งนี้ความคิดดีๆ ที่ทุกท่านได้รับไปหรือมีให้กับบทความนี้กระผมขอยกประโยชน์และคุณงามความดีทั้งหมดนี้ให้กับครอบครัวของแก ขอให้ครอบครัวของแกประสบกับความโชคดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงยึดมั่นในการทำความดีแบบนี้เอาไว้ตลอดไป กราบขอบพระคุณจากใจจริงของผู้เขียนครับ
ผมสัญญาว่าผมจะทำดีอย่างนี้ทุกๆวัน ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนมานี้ ผมได้เขียนบทความที่เป็นประโยชน์ให้กับทุกๆคนได้อ่าน ให้ได้มุมมองต่างๆ ก็จะเขียนให้ทุกคนได้อ่านต่อไป และสำหรับการสอนผมจะทำให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ผมจะทำความดีเพื่อคนที่ผมรักได้ภาคภูมิใจ และทำความดีอย่างนี้เพื่อในหลวงในพระบรมโกศฯ ตลอดไป......ผมสัญญา!!!!!
สุดท้ายนี้ผลในสิ่งที่ดีๆที่ผมได้เจอมากับตัวของผมเอง และได้เขียนบอกเล่าให้ทุกๆท่านได้ฟังได้ดู ผมขอยกคุณความดีทั้งหมดนี้ให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดเสมอ....... ML....รักและห่วงใยเสมอ
ด้วยความปราถนาดีจาก
" โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "
สวัสดี
ขออนุญาตที่จะไม่นำชื่อจริงมาลงในงานเขียนชิ้นนี้นะครับ
สถานที่พักผ่อนในวันที่สนทนากับครอบครัวของพี่เขา ต้องขอบคุณสถานที่พักผ่อนมากนะครับ ขออนุญาตที่จะนำมาลงเพื่อประกอบงานเขียนชิ้นนี้ ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงเพื่อหวังผลต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้นครับ








