Wednesday, June 28, 2017

"ปรัชญาคน ป.4"






 "ปรัชญาคน ป.4 "



จากบทความตอนที่แล้วเรื่อง
มาทำความดีกัน ก่อนที่ประตูบานสุดท้ายจะเปิดและปิดลง” ผมได้เขียนถึงครอบครัวนึงที่ผมไปเจอขณะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด วันนี้ผมขออนุญาตเขียนเรื่องของครอบครัวนี้กันอีกสักนิดตอนแรกๆ อาจจะดูเป็นกฎแห่งกรรมไปนิดแต่ก็อยากให้อ่านให้จบก่อนนะครับ

แกเล่าเรื่องความเป็นมาเป็นไปในชีวิตของแกให้ผมได้ฟัง แกเกิดที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร การศึกษาจบเพียงชั้น ป.4 เท่านั้น แต่ก่อนสมัยหนุ่มๆอายุสักประมาณ 17-18 ปี แกยึดอาชีพทำงานอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ ทุกวันแกจะฆ่าวัว ฆ่าหมู โดยเฉลี่ยวันละ 2-3 ตัว ต่อวัน ทำอย่างนี้มาเป็นระยะเวลา 6 ปีเต็มๆ

วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันกับชีวิตของแกที่ทำให้เลิกฆ่าสัตว์ แกได้ล้มป่วยลงเป็นการป่วยโดยไม่รู้สาเหตุอะไรเลยต้องนอนพักรักษาตัวที่สุขศาลา (สมัยก่อนไม่มีสถานีอนามัย) ระยะเวลาเกือบปีที่ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น แกบอกกับผมว่าในคืนนึงที่แกนอนป่วยอยู่นั้น แกหลับไปและฝันว่ามีคนจะมาเอาชีวิตของแกไป เพราะแกก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าชีวิตสัตว์ไปมาก แต่ตัวแกเองไม่ยอมที่จะไปจนยื้อยุดฉุดกระชากกัน สุดท้ายแกไม่รู้จะทำอย่างไรดี แกเลยร้องขอชีวิตกับคนที่จะมาเอาชีวิตของแกไปว่า

ถ้าลูกขอชีวิตกลับคืนมาได้ ลูกจะหมั่นสร้างแต่คุณงามความดีอยู่ทุกเวลา ทำบุญกุศลเพื่ออุทิศผลบุญที่ลูกได้กระทำต่อสัตว์เหล่านั้น และคนรอบข้าง” 



เมื่อแกสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นช่วงก่อนรุ่งสางวันใหม่ แกรีบยกมือพนมขอบคุณคนที่จะมาเอาชีวิตแกไปและตั้งจิตอธิฐานในใจไว้ว่า "ลูกจะขอทำแต่คุณงามความดีตราบเท่าชีวิตนี้ที่ยังมีเหลืออยู่" นี่คือวินาทีที่ตัวแกรอดพ้นจากเงื้อมือของพญามัจจุราช มาได้ซึ่งน้อยคนนักที่จะพบเจอแบบแก แต่มันเป็นโอกาสที่ดีในการทำความดีเพื่อไถ่โทษแก่เหล่าบรรดาสัตว์ที่แกได้ฆ่าทำลายชีวิตเขาไป
 
ในเช้าวันใหม่นี้แกได้หายจากอาการป่วยเป็นปลิดทิ้งเหมือนปาฏิหารเกิดขึ้นกับชีวิตแกอีกครั้ง สร้างความงงง่วยให้กับหมอพยาบาลเป็นอย่างมาก เวลาป่วยก็ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ เวลาที่หายก็หายแบบไม่รู้สาเหตุเช่นกัน ต่างพากันงงกันไปหมดว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเป็นไปได้อย่างไร
แกมานั่งคิดว่า  “เวลาที่แกฆ่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะร้องขอต่อชีวิตกับแกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว " มันเป็นบาปกรรมของแกแท้ๆ
หลังออกจากสุขศาลากลับมาพักอยู่ที่บ้านของตัวเอง ในใจก็คิดที่จะกลับเข้าไปทำงานที่โรงฆ่าสัตว์อยู่เสมอ แต่พอคิดแบบนั้นทีไรก็เจ็บออดๆ แอดๆ อย่างนี้เป็นประจำ แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความกลัวกับสิ่งที่ตนได้รับปากกับคนที่จะมาเอาชีวิตแกไป ทำอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าจะกลับเข้าทำงานที่เดิมดี หรือเปลี่ยนอาชีพใหม่ไปเลยดีกว่า คิดอยู่นานเกือบเดือน แต่มันกลับมีอะไรบางอย่างมาดลจิตดลใจที่ทำให้ไม่ได้เข้าไปทำงานที่นั่นอีกเลย สุขภาพก็แข็งแรงกลับมาเป็นเหมือนเดิมจนน่าแปลกใจมาก

หลังจากนั้นอีกประมาณสองปีต่อมาแกได้พบรักกับหญิงสาวซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาจนได้ลูกเป็นพยานรักสองคน อยู่กินกันมาโดยแกกับภรรยายึดอาชีพรับจ้างทำไร่สัปะรด ทำสวน ได้ค่าแรงวันละ 250 บาทเท่านั้น กับค่าแรงเพียงเท่านี้ยังต้องเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆ ของแกอีก

แม้ว่าครอบครัวของแกมีรายได้เพียงวันละ 250 บาท เพียงแต่ขอให้ รู้จักการใช้จ่าย รู้จักการกินอยู่อย่างพอเพียงแล้ว และยังสามารถแบ่งปันส่วนหนึ่งเพื่อทำบุญใส่บาตรได้อีก แกยังสอนลูกๆ อีกอย่างหนึ่งว่า เงินทองเป็นสิ่งที่หายาก การที่เรามีข้าวกินทุกมื้อนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว จะไปสรรหาสิ่งของอะไรมาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเพื่อตัวเองอีกทำไม ผมดูแล้วแกไม่ใช่คนที่ตะหนี่ขี้เหนียวอะไรนะครับ แต่แกเป็นคนรู้จักใช้ รู้จักกินอย่างพอเพียงต่างหาก
แกจบเพียง ป.4 ทำงานหารายได้เท่านี้ก็ดีแล้วได้ทำงานที่ทำอยู่อย่างเต็มที่ มีความสุขกับการทำงาน” ของแกและทำให้ครอบครัวมีความสุขที่พอเพียงก็ดีมากแล้วสำหรับครอบครัวของแก

อย่างที่ผมได้เคยเขียนไว้ว่า การทำงานใดๆ ก็ตามถ้าหากเราทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถที่เรามีอยู่ สนุกกับงานที่เรารับผิดชอบแล้วมันก็มีความสุขกับการทำงาน งานต่างๆที่เราทำนั้นจะออกมาดีอย่างที่เราตั้งใจไว้”

และอีกสิ่งหนึ่งที่แกได้สอนผม คือเรื่องของความประหยัดรู้จักใช้สอยเงินทองอย่างมีระบบระเบียบ ไม่ใช้สอยเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น

แกไม่เคยตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตหรือความน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับตัวแกเอง” ให้ผมได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวในการสนทนากันในวันนั้น ในความคิดของผมเองคิดว่าแกเป็นคนที่  “ทรนง” หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ทั้งที่ผมดูแล้วตัวแกและลูกเมียไม่ใช่คนหยิ่งผยองจองหองอะไรเลย อยู่แบบเรียบง่าย มีแต่รอยยิ้มที่สดใสเท่านั้น บ้านที่มีเพียงผ้าใบทำเป็นหลังคา นั้นแต่ภายในมันสะอาดเรียบร้อยตามอัธภาพที่ครอบครัวแกอยู่

เมื่อถามแกว่าทำไมบ้านที่อยู่นี้ทำไมถึงสะอาดดูดีจังครับ แกตอบผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสและตอบผมด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับชี้นิ้วไปทางภรรยาคู่ชีวิตของแก แกพูดถึงศรีภรรยาอันเป็นที่รักของแกด้วยความภาคภูมิใจกับภรรยาอย่างมาก ยกย่องเทิดทูนเสมอ

แกเล่าให้ผมได้ฟังต่ออีกว่าที่แกอยู่แบบนี้ทุกวันนี้ได้เพราะ เราสร้างความสุขใจที่เรามีให้กันอยู่เสมอๆ ถึงแม้ว่าบ้านที่แกอยู่ในขณะนี้ จะเป็นเพียงผ้าใบที่ใช้คลุมเพื่อทำเป็นหลังคากันแดดกันฝนกันลมเพียงเท่านั้น แต่ในบ้านหลังนี้มันมี "ความรัก" ให้กันและกันทุกๆ เวลา และทุกๆ คน ถ้าเราตั้งใจจะสร้างมันแล้วเราจะต้องสร้างจากครอบครัวของเราเสียก่อน ปลูกฝังจิตใต้สำนึกจากคนในครอบครัวเราก่อนนี่หล่ะ

แกพูดกับผมอีกว่า ไม่เคยมีใครอยากที่จะรู้จักผมเลยแม้แต่นิดเดียว มองเห็นผมก็ทำเมินเฉยไม่สนใจอะไร แต่ผมเองไม่ได้ว่าอะไรพวกเขา ไม่ได้โกรธเคืองอะไรพวกเขา อาจเป็นไปได้ว่า ตัวเราไม่มีฐานะความเป็นอยู่ที่เทียบเท่ากับเขาเหล่านั้น ไม่มีอะไรที่น่าจะมองหรือน่าคบหาที่จะพูดคุยด้วย หรืออาจจะไม่มีผลประโยชน์ต่อกันนั้นก็เป็นได้” แต่สำหรับผมแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลย (แกพูดแบบสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวแกเองไม่มีผลกับการทำความดีของแกเลย แต่ก็ไม่ได้เห็นคนเหล่านั้นเป็นคนที่ผิดนะครับ) โอ้โห!!!!!นี่คิอสิ่งที่แกพูดออกมา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมามากต่อมากแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดของแกในวันนั้นถึงได้กินใจของผมเหลือเกิน

แกหันกลับมาถามผมว่า ทำไมถึงอยากจะรู้จักกับแก ผมตอบกลับไปว่า  “ผมไม่ได้คิดที่จะคบกับใครเพียงแต่รูปลักษณ์ฐานะภายนอกของคน” หรอกนะครับ ผมคบได้กับทุกคน ถ้าหากว่าผมปิดกั้นตัวเองแล้ว ผมก็ เปรียบเหมือนกับน้ำที่เต็มแก้วอยู่อย่างนั้น” มันไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้อะไรดีๆได้อีกเลย หลงทะนงตนเองว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้เก่งกว่าใครเขา ซึ่งมันก็เป็นได้เพียงแค่คนโง่ดีๆนี่เองครับ แกหัวเราะดังลั่นเลยครับ แล้วแกพูดออกมาคำเดียวว่า ก็จริงนะ”

พูดคุยกันมาหลายเรื่องมาก มีคำพูดหนึ่งที่ผมสะดุดคิดกับคำพูดของแกมาก แกพูดออกมาว่าคนเรานี้มันเหมือนกันทุกอย่าง แต่แตกต่างที่คนไม่เหมือนกัน” ฟังดูแล้วงงๆ นะครับ แปลให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน” นั่นเองครับ

ความหมายของแกที่อธิบายให้ผมฟังนั้นคือ คนเรานั้นเกิดมาจากที่เดียวกัน คือเกิดจากท้องของแม่เหมือนๆกันทุกๆคน” มีชีวิตครอบที่ถูกปลูกฝังแตกต่างกันไป บางครอบครัวรักลูกจนไม่ลืมหูลืมตา รักลูกไม่ถูกทาง หรือพ่อแม่รังแกฉัน” นั่นหล่ะครับ หรือบางครอบครัวต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทำมาหากินจนไม่มีเวลาให้กับลูกเลย ปล่อยปะละเลยกับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของหน้าที่พ่อแม่ทิ้งไป ลูกถูกจำกัดขอบเขตเพียงตัวคนเดียวลำพัง คิดและทำด้วยตัวคนเดียวตลอดเวลา และผลสุดท้ายกลายเป็นนิสัยส่วนตัวของเด็กไป โดยที่ไม่มีใครสอน หรือบอกลูกได้ว่า สิ่งไหนดี สิ่งไหนถูกต้อง สิ่งไหนควรที่จะทำสิ่งไหนไม่ควรที่จะทำไม่มีใครคอยบอกสอนเขา” กลับปล่อยให้ลูกต้องเผชิญปัญหาด้วยความคิดของเขาเอง ซึ่งสิ่งนี้คิดว่าเป็นความผิดของพ่อและแม่” ที่ทิ้งไปอย่างนี้ มันจึงเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมกลับมามากมาย ก่อให้เกิดอาชญากรรมต่างๆ ปัญหายาเสพติด ปัญหาท้องก่อนแต่ง ปัญหาเด็กตีกันวุ่นวายไปหมด สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ครอบครัวเราถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ด้วยฐานะเงินทอง หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ แต่เราจะไม่ยอมทิ้งให้ลูกๆ ของเราเป็นแบบนั้น ถึงแม้เราจะทำงานหนักกลับมาก็ตามหรือช่วงเวลาปิดเทอมผมก็จะพาลูกๆ ออกไปช่วยทำไร่อยู่เสมอโดยที่ไม่ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังอย่างแน่นอน สอนให้เขารู้จักช่วยตัวเองและอยู่ภายใต้การดูแลของเราอย่างใกล้ชิด เราเองก็จะต้องให้เวลาอันมีค่ากับเขาทุกๆ วันๆ ละ 4-5 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ (แกจัดสรรเวลาการดูแลได้ดีมากนะครับผมมองว่าอย่างนั้น)

ตอนเช้าๆ ก็จะพากันไปทำบุญใส่บาตรพระอยู่เสมอๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกของการทำความดีให้กับลูกๆ เพื่อสร้างเกราะกำบังปกป้องอันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆข้างของตัวเขาเองเมื่อในวันหนึ่งวันที่เขาเติบโตขึ้น เขาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สามารถที่จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และประเทศชาติที่ให้กำเนิดได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังของเขาและสร้างครอบครัวที่แข็งแรงของเขาเองได้

นี่เป็นบางช่วงบางตอนของการสนทนากับแก ผมเก็บเอาบางช่วงบางตอนที่สำคัญๆ มาเขียนให้ทุกคนได้รับรู้ไปกับผมนะครับ เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนของผมซึ่งได้มีโอกาสได้เจอกับครอบครัวนี้มันเป็นเวลาที่แสนดีมากๆ กับชีวิตของผมเอง  สำหรับครอบครัวคนที่จบเพียง ป.4  

ผมได้บทสรุปสั้นๆ ที่ว่า

คนดีที่แท้จริงหรือคนที่เข้าใจในการใช้ชีวิตที่แท้จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นบทสรุปจากการที่เขาจะจบการศึกษาสูงกว่าคนอื่น แต่มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกของคนต่างหาก อย่าได้มองคนอื่นเป็นคนต่ำต้อยน้อยค่ากว่าตัวเอง คนทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นคุณค่าตรงนั้นของเขาหรือไม่”


เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับบทความนี้ ผมคิดว่าเราทุกคนจะได้รับประโยชน์ในแง่ของความคิดที่ผมได้เขียนเล่าให้ท่านไปไม่มากก็น้อย สำหรับประสบการณ์ที่ผมได้เจอไม่มากก็น้อยนะครับ

ทั้งนี้ความคิดดีๆ ที่ทุกท่านได้รับไปหรือมีให้กับบทความนี้กระผมขอยกประโยชน์และคุณงามความดีทั้งหมดนี้ให้กับครอบครัวของแก ขอให้ครอบครัวของแกประสบกับความโชคดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงยึดมั่นในการทำความดีแบบนี้เอาไว้ตลอดไป กราบขอบพระคุณจากใจจริงของผู้เขียนครับ

ผมสัญญาว่าผมจะทำดีอย่างนี้ทุกๆวัน ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนมานี้ ผมได้เขียนบทความที่เป็นประโยชน์ให้กับทุกๆคนได้อ่าน ให้ได้มุมมองต่างๆ ก็จะเขียนให้ทุกคนได้อ่านต่อไป และสำหรับการสอนผมจะทำให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ผมจะทำความดีเพื่อคนที่ผมรักได้ภาคภูมิใจ และทำความดีอย่างนี้เพื่อในหลวงในพระบรมโกศฯ ตลอดไป......ผมสัญญา!!!!!



สุดท้ายนี้ผลในสิ่งที่ดีๆที่ผมได้เจอมากับตัวของผมเอง และได้เขียนบอกเล่าให้ทุกๆท่านได้ฟังได้ดู ผมขอยกคุณความดีทั้งหมดนี้ให้กับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดเสมอ.......
ML....รักและห่วงใยเสมอ


               

                                                                                        ด้วยความปราถนาดีจาก


                       
                                                                                         
" โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง "

               
                                                                                                 สวัสดี



ขออนุญาตที่จะไม่นำชื่อจริงมาลงในงานเขียนชิ้นนี้นะครับ
สถานที่พักผ่อนในวันที่สนทนากับครอบครัวของพี่เขา ต้องขอบคุณสถานที่พักผ่อนมากนะครับ ขออนุญาตที่จะนำมาลงเพื่อประกอบงานเขียนชิ้นนี้ ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงเพื่อหวังผลต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้นครับ


Monday, June 26, 2017

" หนังกำพร้า # 2 "


13/6/2560

" หนังกำพร้า # 2 "


"หากย้อนเวลาได้" ทุกคนคงไม่อาจปฏิเสธที่อยากกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมาด้วยกันทั้งนั้น   แต่ในโลกของความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ทำได้แค่เพียงแค่ว่า "จะทำชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดได้อย่างไร" ดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ 
      
      "ถ้าหากเราจมอยู่กับอดีตวันพรุ่งนี้จะมีอนาคตได้เช่นไร" 


ทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ถูกเก็บงำปิดบังซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของผู้หญิงคนนี้ เจ็บปวดรวดร้าวกับปมชีวิตที่เกิดขึ้น หากแต่ทุกวันนี้อยู่กับความเป็นจริงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบทบาทใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว นั่นคือหน้าที่ของความเป็น "แม่" คือทำเพื่อ "ลูก"




ลูกที่ต้องดูแลถึง 2 คน พ่อที่กำลังป่วย,น้องที่ติดคุกเพราะคดียาเสพติด ทั้งหมดนี้รวมๆที่ต้องรับผิดชอบดูแลถึง 5 ชีวิตด้วยกัน นับว่าเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะรับมันได้  บางคนไม่อาจยอมรับมันได้ แต่สำหรับเธอผู้นี้ต้องอดทน ยอมรับ และต่อสู้กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต  คงอยู่ได้เพราะได้รับกำลังใจอันล้นเปี่ยมอยู่เสมอ มองเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมี          " สติ " ทำให้ชีวิตของเธออยู่ได้ด้วยกำลังใจจากคนภายในครอบครัวที่มีให้อย่างเปี่ยมล้น

หลายเรื่องราวที่ผู้เขียนได้เจอมากับตัวเอง ซึ่งได้รับฟังเรื่องราวจากผู้คนที่รู้จักใกล้ชิด และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องคนหนึ่ง ซึ่งน้องคนนี้เองไปรับผมที่สนามบินเมื่อครั้งที่ออกตรวจโซนภาคเหนือ ในครั้งแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ว่าเรื่องราวในลักษณะแบบนี้จะเกิดขึ้นกับน้องจนกระทั่งได้นั่งทานข้าวกัน น้องผู้หญิงก็มาพร้อมกับเด็กสองคน กำลังน่ารักซุกซนตามประสาเด็กๆ ผมเองได้แต่เก็บความฉงนสงสัยเอาไว้คนเดียว ว่าเด็กทั้งสองคนนี้ทำไมรูปร่างหน้าตาไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกันเลยแม้แต่นิดเดียว

ก็ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นอย่างผมนั่นหล่ะครับที่มันอดไม่ได้ที่จะถาม มันเป็นนิสัยส่วนตัวไปเสียแล้วที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านชาวช่องเขาไปทั่ว จนได้เรื่องได้ราวมาเขียนให้ทุกๆคนได้อ่านได้เตือนสติกันครับ เอ้ามาว่ากันต่อเลย....................


พอมารู้อีกทีก็ร้องอุทานคำสบทออกมาเบาๆว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้คล้ายๆกันกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งก่อนในบทความเรื่อง " หนังกำพร้า#1 " ที่เขียนให้ทุกๆท่านได้อ่าน แต่เรื่องราวนี้รุนแรงกว่าที่ได้เขียนขึ้นหลายเท่านัก เพราะมีดวงใจน้อยๆถึง 2 ดวงเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักของเขาทั้งสอง  มันจึงเป็นเรื่องราวที่จะเขียนเพื่อเตือนสติของใครหลายๆคนที่ได้อ่านบทความนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ


ด้วยความมักมากของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อกัน เห็นหญิงอื่นดีกว่า ก้าวเท้าเดินออกจากบ้านไป โดยไม่เคยเหลียวแลชีวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิดขึ้น ปล่อยทิ้งปัญหาเอาไว้ให้เป็นภาระของหญิงสาวแต่เพียงผู้เดียว จนแล้วจนรอดก็ไม่คิดที่จะหวนหลังกลับ  กลับกลายเป็นว่าจะต้องเพิ่มปากท้องมาอีกหนึ่งชีวิตที่จะต้องเลี้ยงดู

บทสุดท้ายของการใช้ชีวิตร่วมก็ต้องจบลงด้วยการแยกทางกันไปโดยปริยาย ทิ้งความขมขื่นเอาไว้กับหญิงสาวที่ต้องดูแลลูกน้อยๆ และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของเธอไปอีกนาน

เวลาผ่านไปอีก 3 ปี เห็นจะได้ ด้วยความที่เธอยังไม่เข็ดกับความรัก ยังคงเฝ้าคอยหาคนที่จะเข้ามาดูแลชีวิตของเธอและลูกที่เกิดจากผู้ชายคนแรก และแล้วเธอก็ได้พบรักใหม่ซึ่งเกิดจากความใกล้ชิดสนิทสนมเพราะทำงานอยู่ที่เดียวกัน เธอมอบหัวใจให้กับชายผู้นี้ หวังว่าจะฝากชีวิตไว้กับเขา คิดแต่เพียงว่าจะเป็นคนดีสำหรับเธอและลูก  หยุดความรักเอาไว้ที่เธอเพียงคนเดียว ต่างคนก็ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน นี่หรือที่เขาเรียกกันว่า " ความรักมักทำให้คนตาบอด " ด้วยกันทุกคน

หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งฝ่ายชายเข้าใจผิดคิดไปว่าฝ่ายหญิงนั้นปันใจให้กับชายอื่น โดยที่เขานั้นคิดเองเออเองเหมาสรุปเอาแต่ผู้เดียวโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลของเธอแม้แต่น้อย  ถึงขั้นทะเลาะกันอย่างรุนแรง บทสรุปสุดท้ายก็ต้องเลิกลาจากกันไป แต่ในขณะนั้นหนึ่งชีวิตที่กำลังก่อกำเนิดเกิดขึ้นโดยที่เธอ และคนรักไม่รู้ตัวมาก่อน และเริ่มเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ เธอถึงได้รู้ว่ามีดวงใจน้อยๆได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกดวงแล้ว  (ในความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าผู้ชายนั้นถือว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนฝ่ายหญิงก็ถือว่าความรักนั้นสำคัญมากกว่าเกียรติและศักดิ์ศรีเช่นเดียวกันจึงทำให้เกิดความเห็นที่ต่างกันออกไป) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปได้ต้องก้มหน้ารับกับมันอย่างเต็มใจ

เธอตัดสินใจบอกเรื่องราวนี้กับคนที่เธอรักว่าเธอนั้นได้  "ตั้งท้อง"  หวังว่าจะได้รับการดูแล หรือคำพูดปลอบใจที่ดีๆกลับมาบ้าง อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจในการเลี้ยงดูลูกน้อยที่กำลังจะลืมตามาดูโลกใบนี้ แต่แทนที่ชายที่รักจะยินดีกับชีวิตใหม่ที่เป็นพยานรักของคนสองคน คำที่เธอได้ยินกลับตรงกันข้ามซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้ยินได้ฟังจากปากของคนรักเลย

 ชายคนรักบอกเธอออกไปว่า ให้เธอนั้นไปเอาเด็ก "ออก" เพื่อไม่ให้เป็นภาระในการเลี้ยงดู ซึ่งคำพูดคำพูดนี้เปรียบเหมือนเอามีดปลายแหลมทิ่มแทงที่กลางหัวใจเธอ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวคงไม่ต้องพูดถึงว่าจะเจ็บปวดเพียงไร  เธอเสียใจอย่างมากผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดที่คนรักบอกให้เธอทำอย่างนั้น ท่านลองคิดดูว่าเธอคนนี้จะเจ็บปวดรวดร้าวมากขนาดไหน (ผู้เขียนเองไม่กล้าที่จะประเมินความเจ็บปวดรวดร้าวที่เธอได้รับมาว่ามันจะมากเพียงไรนั้นผู้เขียนไม่กล้า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!)


แต่ด้วยความที่เธอเข้มแข็ง พยายามที่จะปกปิดเรื่องราวอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องการที่จะให้ใครมารับรู้เกี่ยวกับชีวิตรักของเธอมากนัก ประกอบกับหน้าที่การงาน และสถานะภาพทางสังคม แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดเพราะเธอนั้นไม่เชื่อคำทัดทานของผู้ใหญ่ ทำไปเพราะหัวใจเรียกร้องให้ทำโดยขาดสติยับยั้งชั่งใจ  จนทำให้เกิดบทเรียนที่เลวร้ายในลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนได้ เป็นบทเรียนที่สอนเธออีกแล้ว........นี่หรือชีวิต!!!!!!!!....................................(ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่า "ต่างคนก็ต่างมีเหตุและผล ต่างที่มาและก็ต่างที่ไป แต่เหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือความรับผิดชอบ" ที่พึงมีให้แก่กันและกัน)

จวบจนวันเวลาได้ผ่านไปท้องของเธอก็โตขึ้นเรื่อยๆไม่สามารถที่จะปกปิดคนรอบข้างได้อีก ห้วงของเวลานั้นอารมณ์ความรู้สึกฉุนเฉียวของคนท้องนั้นมันหนักขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าเวลาที่เธอนั้นเดินทางไปฝากครรภ์เธอจะเห็นภาพที่สามีพาภรรยาไปพบแพทย์ต่างดูแลประคับประครองกันมันช่างเป็นภาพปาดใจเสียกระไร  น้ำตาเธอนั้นก็ไหลออกมาในทันใด

แต่เธอก็พยายามยับยั้งอารมณ์ความรู้สึกนั้นเอาไว้ เพราะด้วยตระหนักคิดได้ว่าสิ่งทีเกิดขึ้นมันเกิดจากความผิดพลาดของตัวเธอเอง และเธอเองจะต้องแก้ไขทำมันให้ถูกต้องถึงแม้ต้องเผชิญกับโลกของความเป็นจริง ที่จะต้องอุ้มท้องไปไหนมาไหนคนเดียว คิดและทำมันเพียงลำพัง  เธอต่อสู้ฟันฝ่ากับมรสุมชีวิตมาได้ด้วยกำลังใจจากพ่อและลูกๆของเธอ 

"ไม่มีพ่อความรักของแม่จะทดแทนทุกอย่าง"  เป็นที่น่าชื่นชมอย่างมากสำหรับความคิดอย่างนี้ ผมเองในฐานะผู้เขียนยกย่องกับความคิดของเธอแบบนี้จริงๆ ซึ่งสังคมเองก็น่าจะให้อภัยเธอในฐานะที่เธอ "เป็นแม่" ไม่ยอมที่จะทำ "ร้ายเลือดเนื้อเชื้อไข" รักษาดวงใจน้อยๆนี้เอาไว้

"ความทุกข์ไม่เคยทำให้ใครตาย แต่ความทุกข์นั้นกลับทำให้เรายิ่งเข้มแข็งอีกครั้ง"

เป็นอีกเรื่องราวๆหนึ่งที่ผู้เขียนได้เจอและได้รับการถ่ายทอดมาโดยตรง เป็นมุมมองๆหนึ่งที่จะเตือนสติของใครหลายๆคนได้ ให้รู้จักการยับยั้งชั่งใจตัวเองก่อนที่จะทำ เพราะทำแล้วเกิดความผิดพลาดเสียหายก็จะอยู่ที่ตัวผู้จะทำเอง และผลเสียนั้นกลับตกอยู่ที่ตัวเด็ก ดังนั้นการที่เราจะคิดและทำอะไรลงไปขอให้ได้ใช้สติคิดก่อนที่จะทำเสมอ อย่าใช้อารมณ์ในการคิดและทำมันโดยเด็ดขาด มันมักจะเกิดผลเสียอย่างมาก

สุดท้ายสิ่งหนึ่งที่บทความบทนี้ทำให้ผู้ใดที่ได้อ่านเกิดได้สติยั้งแต่สิ่งหนึ่งที่น่าคิดต่อจากนี้ เด็กต้องโตขึ้นทุกวันมีสังคมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยทั้งสองคนนี้จะมีที่ยืนในสังคมนี้หรือไม่ เด็กจะรับแรงกดดันจากสังคมภายนอกได้มากน้อยขนาดไหน วิถีชีวิตของเขาทั้งสองคนจะดำเนินไปในทิศทางใด เรื่องนี้ผู้เขียนอยากจะฝากเอาไว้กับคนที่เป็นแม่และสิ่งแวดล้อมของเด็กได้อยู่อาศัยเป็นตัวบ่งชี้หรือเป็นตัวกำหนดได้อย่างดีเกี่ยวกับชีวิตดวงน้อยๆที่จะต้องดำเนินต่อไป เพราะวันหนึ่งข้างหน้าเด็กจะเติบโตอย่างเข้มแข็ง พร้อมที่จะยืนหยัดในสังคมนี้ได้ด้วยชีวิตของเขาอย่างกล้าหาญ และสร้างสิ่งที่ดีๆให้เกิดในสังคมนี้ได้ 

คลื่นมรสุมชีวิตมันได้ผ่านพ้นไปแล้วแต่ชีวิตยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และนี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเราทุกๆคนนั้นทราบดี แต่วันสิ้นสุดไม่มีใครตอบได้แม้กระทั่งตัวผู้เขียนเองหรือผู้อ่านก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำได้เลยเพราะชีวิตของเด็กน้อยเพิ่งเริ่มต้นเดินทางเท่านั้น อนาคตยังอีกไกลมาก

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างมากว่า หากครอบครัวต่างมอบความรักความอบอุ่น และความเอาใจใส่กับเด็กทั้งสองนี้แล้วมันจะกลับกลายมาเป็นภูมิคุ้มกันอันดีให้กับตัวเด็กได้ สามารถที่จะทำให้เด็กอยู่และสู้กับสังคมภายนอกที่ต้องเจอ ตัวแม่เองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีๆให้กับลูกๆ ขอให้เอาประสบการณ์ของตัวเองที่ผ่านมันมาเป็นตัวที่คอยสั่งสอน และยึดถือคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้การอบรมสั่งสอนลูกๆสั่งสอนให้เขาไปในทิศทางที่ดีๆ อบรมเขาเพื่อจะได้เติบใหญ่เป็นคนที่ดีในสังคมนี้ให้ได้ สามารถที่จะสร้างครอบครัวของตนเองได้อย่างมั่นคงแข็งแรงต่อไปในอนาคต

บยั้งชั่งใจ ได้หวนกลับมาคิดก่อนที่จะทำกับมัน สิ่งที่ดีๆที่เกิดขึ้นจากบทความนี้ผู้เขียนไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้ขอส่งผ่านไปยังผู้หญิงต้นเรื่องๆนี้เลยครับ สิ่งใดที่เธอผู้นี้ได้ทำก็ขอให้ประสบความสำเร็จในทุกๆอย่าง สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อที่จะได้ดูแลพ่อบังเกิดเกล้า และลูกๆของเธอผู้นี้ได้




                                                                                                    ด้วยความปรารถนาดีจาก


                                                                                                "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                                                                                                                สวัสดี


www.โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง.com

FB: songrit songrit

Line ID : taaoo429

พบกันใหม่ในบทความหน้านะครับ

Saturday, June 10, 2017

"หนังกำพร้า"




11/6/2560
0:38 น.



" หนังกำพร้า "


ด้วยเวลาที่มีอย่างจำกัด ในช่วงเวลานี้เวลาที่ทุกๆคนนั้นได้หลับไหลพักผ่อนกายากัน แต่สำหรับผมนั้นกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเกิดอาการที่นอนไม่หลับตาค้างตามประสาคนที่มีอายุอานามมากพอควร นึกถึงเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับสาวน้อยคนหนึ่งขึ้นมาทันใด เมื่อครั้งเรื่องราวดังกล่าวผ่านมาแล้วเป็นเวลา 1 ปีเศษๆเห็นจะได้ และพูดคุยกับลูกศิษย์คนนี้ถึงเรื่องราวของเธอเกี่ยวกับเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้นนั่นคือเรื่องของ "ความรัก" ที่มันไม่ได้เป็นไปอย่างใจที่คิดเอาไว้

วันเวลาที่แสนนานที่ผ่านมาในชีวิตรักของสาวน้อยนั้นเต็มไปด้วยความราบรื่น   และดีเสมอมาโดยตลอด ต่างคนต่างเติมเต็มความรักที่มีให้กันตลอดมา ไม่ได้มีเรื่องราวที่ให้ขุ่นข้องหมองใจวิตกกังวลอะไรเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่งผ่านไป เธอได้มองเห็นความผิดปกติของแฟนหนุ่มเข้า เป็นความผิดปกติที่เธอนั้นไม่อยากที่จะให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยกับชีวิตรักของเธอ

จับได้ไล่ทันความคิด และการกระทำของแฟนหนุ่มของตัวเองที่พยายามปลีกตัวออกห่างและท้ายที่สุดก็ทิ้งเธอไปมีความรักใหม่จนได้ จนแล้วจนรอดได้ทิ้งร่องรอยบาดแผลลึกในจิตใจ และความรู้สึกของเธอคนนี้ จมติดอยู่กับห้วงของวันเวลาที่เลวร้าย และภาพอดีตที่ยังไม่เลือนไปจากความทรงจำ  เปรียบเสมือนหนังกำพร้าที่ยึดติดแต่ต่อจากนี้ไปก็จะหลุดร่วงหายไปจากร่างกาย แต่สาวน้อยผู้นี้ยังจมติดคิดว่าหนังกำพร้ายังคงติดแน่นอยู่มิได้หายไป และยังอยากที่จะรักษาผิวหนังกำพร้านี้เอาไว้ ไม่ยอมที่จะให้มันหลุดล่วงไปเพราะตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะทำใจได้

จนกระทั่งวันหนึ่งผู้เขียน และอาจารย์ของสาวน้อยผู้นี้ ได้รับฟังเรื่องราวจากปากของเธอในขณะที่เธอยังคงติดกับหนังกำพร้าอยู่ เพราะความที่เธอนั้นไว้เนื้อเชื่อใจที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมได้รับฟัง ซึ่งไม่มีคนที่เธอไว้เนื้อเชื่อใจอีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้เล่าให้ผมฟังนั้นมันเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ กับเรื่องราวที่ทำให้ "หัวใจของหญิงสาวผู้นี้แตกสลายไปเพราะความรัก" ซึ่งในความเป็นจริงแล้วใครก็ตามที่ได้ฟังอย่างผมก็ต้องรู้สึกไปตามๆกันคือ "ช่างน่าเห็นใจ" เธอจริงๆ

ถึงแม้ว่า "หนังกำพร้า" นั้นได้หลุดพ้นจากเธอไปแล้ว ลองคิดดูกันนะครับว่าความทรมานนั้นเจ็บปวดรวดร้าวมากขนาดไหน สำหรับตัวผู้เขียนเองไม่สามารถที่จะประเมินความเจ็บปวดเหล่านี้ได้เช่นกัน เพราะคงจะเจ็บปวดมากๆ หรือแม้บางคนอาจจะทำร้ายร่างกายตัวเองเลยก็เป็นได้นะครับ เพราะพิษรักนี่เองที่ทำให้เธอเป็นอย่างนั้น

เล่าไปน้ำตาของความเสียใจก็หลั่งออกมาอย่างไม่ขาดสายต่อหน้าต่อตาของผู้เขียน ซึ่งมองดูอากัปกิริยาของเธออยู่แบบนิ่งๆอย่างตั้งอกตั้งใจฟังอยู่แบบห่างๆทั้งๆที่ได้รับฟังเรื่องราวเหล่านี้มามากต่อมากแล้ว ที่เธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ขมขื่นออกมาให้ผมได้ฟัง (มันก็เหมือนการที่ได้ระบายอะไรที่อยู่ในใจออกมาเพื่อไม่ให้มันแน่นในอกอยู่อย่างนั้น) ผมเองก็ต้องรับฟังทั้งด้วยหน้าที่ของการเป็นอาจารย์ และเป็นหน้าที่ที่ปรึกษาไปโดยปริยาย แต่ด้วยความเต็มใจนะครับ

พรั่งพรูเรื่องราวออกมาพร้อมกับน้ำตาของความขมขื่นอารมณ์จมดิ่งอยู่กับความผิดหวัง สักระยะหนึ่งเธอก็นิ่งเงียบเหมือนกลับได้สติขึ้นมา แล้วหันมาถามผมว่า "อาจารย์เคยเจอเรื่องราวแบบนี้เหมือนหนูมั๊ยค๊ะ" โอ้!!!!!!!!!!!!! เหมือนฟ้าฝ่าลงกลางใจผมเลย ถามใครไม่ถามดันมาถามผมซะงั้น ผมเองก็ต้องเคยเจอ และผ่านมาสิครับถึงได้รับรู้อาการแบบนี้ได้อย่างเข้าอกเข้าใจ แต่ก็ต้องชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของเธออย่างมาก หลังจากที่ผมได้ให้กำลังใจ ปรอบประโลมเธอแล้ว พร้อมให้การแนะนำไปด้วย ว่าการทำตัวเพื่อ "เปลี่ยนหนังกำพร้า" ออกไปแล้วพยายามที่จะปรับเปลี่ยนสร้าง "หนังกำพร้าที่แข็งแรงมั่นคง" ให้กับตัวเองเสียใหม่

รวบรวมกำลังกาย กำลังใจที่เหลืออยู่ในขณะนั้นพยุงร่างกาย และสภาพจิตใจที่อ่อนแอ หมดเรี่ยวแรงให้กลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ซึ่งผมเองก็ถือว่าจิตใจของ "สาวน้อยผู้นี้" นั้นเด็ดขาดเด็ดเดี่ยวกล้าหาญอย่ามาก ลุกขึ้นมาทำตัวใหม่ ปฏิวัติร่ายกายและจิตใจใหม่เพื่อให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่คำนึงถึงอดีต และอนาคตที่กำลังจะเยื้องย่างเข้ามา สลัดร่องรอยความเจ็บปวดออกไป นี่สิครับถึงจะได้ขึ้นชื่อว่า "ความเข้มแข็ง"


งามพร้อมทั้งทางด้านจิตใจ (ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเธอเองก็รูปร่างหน้าตาสวยในความคิดของผมเองนะครับ) ไม่ใช่การแต่งแต้มขัดผิว อบซาวน่า หรือฉีดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายเพื่อที่จะให้ผิวขาวใส หน้าตาเรียวงาม แต่สาวน้อยของผมผู้นี้ "เธอนั้นงาม งามพร้อมทั้งนอกและในจริงๆ" มันเป็นอะไรที่ผมจะได้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้อดที่จะยิ้ม หรือแสดงภาคภูมิใจกับเธอไม่ได้ นี่สิถึงจะเป็นศิษย์กับอาจารย์ ที่บอกและแนะนำกันได้ในทุกๆเรื่อง (ขออนุญาตยอตัวเองซะหน่อย) ทำตัวเองให้มีคุณค่า และทำตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ควรจะได้รับความรักใหม่ ไม่ใช่ทำตัวเองให้ตกลงสู่ห้วงเหวลึกดำไปเรื่อยๆ เช่น เกิดการเกลียดกันหลอกล่อต่อเอาทรัพย์สินของคนอื่นเพื่อแลกกับสิ่งที่ตัวเองจะเสียไป คือเรือนร่างก็จะเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมต่อภพต่อชาติกันไปเรื่อยๆไม่มีวันจบวันสิ้นนะครับ (อย่าทำโดยเด็ดขาด)


นี่เป็นเรื่องราวย่อๆของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ผมเองคิดว่าเรื่องราวของเธอนั้นจะสามารถที่จะเตือนสติสำหรับคนที่ยังไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองลุกขึ้นมาได้ และจะเป็นกำลังใจในการต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคที่ถาโถมสาดซัด คลื่นลมแรงที่จะประดังประเดเข้ามาอีกหลายระลอกในช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน หลังจากนี้ไปสิ่งที่ผมจะได้เห็นจากสาวน้อยผู้นี้จะต้องกลับไปเป็นสิ่งที่สดใสร่าเริงอีกเหมือนเดิมแน่ๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอนผมเองภาวนาให้เกิดอย่างนั้นจริงๆเอาใจช่วยเธออย่างเต็มที่


นี่ก็เป็นเรื่องราวที่มีโอกาสได้พูดคุย และประสบกับมันมา คิดว่าคงจะช่วยเตือนสติสำหรับทุกๆคนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ หวังว่าสิ่งต่างๆที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นนี้คงจะทำให้ผู้ที่กำลังจะลุกจากห้วงของความทุกข์ระทมให้ลุกขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นยืนหยัดต่อสู้กับมันให้ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความปราถนาดีอย่างที่ไม่ต้องหาค่าตอบแทนใดๆกลับมา เพราะผมเองตั้งใจที่จะเขียน และฝากผลงานเขียนต่างๆเอาไว้ให้ได้อ่านกันนะครับ


สุดท้ายนี้ทุกๆบทความที่เขียนที่บอกกล่าวถ้าหากว่ามีประโยชน์กับทุกๆท่าน ผลที่ทุกๆท่านได้รับประโยชน์นั้นโปรดดลบันดาลกลับคืนสู่ทุกๆท่านด้วยนะครับ ขอให้ประสบแต่สิ่ที่ดีๆ คิดอะไทำอะไก็ขอให้สมความมุ่งมาดปราถนากันทุกคน



                                                                                      ด้วยความปราถนาดีจาก


                                                                                        "โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง"

                                                                                                   สวัสดี


ติดตามอ่านผลงานเพิ่มเติมได้ที่ :

Facebook : songrit songrit

ID Line : taaoo429

Google: พิมพ์คำว่า โค๊ชเฒ่าเล่าเรื่อง

snuprai.blogspot.com